นายวีระพงศ์ ไชยเพิ่ม รองผู้ว่าการการนิคมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยในการสัมมนา "พลิกฟื้นนิคมอุตสาหกรรมไทยหลังมหาอุทกภัย 2554" ว่า ขณะนี้ กนอ.อยู่ระหว่างการศึกษาพื้นที่เพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมใหม่ 4 แห่ง ได้แก่ 1.นิคมฯพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนุบรี เนื้อที่ 500-1,000 ไร่ รูปแบบเป็นนิคมฯการค้าและบริการด้าน โลจิสติกส์ โดยการศึกษานิคมฯดังกล่าวจะต้องแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2555 นี้ และก่อสร้างให้เสร็จภายในปี 2556-2557 เพื่อเชื่อมต่ออุตสาหกรรมเหล็ก ปิโตรเคมี และโรงกลั่น ที่จะเกิดขึ้นในนิคมฯทวาย ประเทศพม่า ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2559 2.นิคมฯเชียงของ จังหวัดเชียงราย เนื้อที่ 2,000 ไร่ ขณะนี้ทำการออกแบบและอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเพื่อร่วมลงทุนพัฒนานิคมฯให้เสร็จภายในปี 2555 รูปแบบนิคมฯแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ รองรับอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร อาหาร ยา และนิคมฯบริการด้านโลจิสติกส์ เชื่อมโยงการขนส่งไปยังมณฑลยูนนาน ประเทศจีน
3.นิคมฯขอนแก่น ซึ่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและมหาวิทยาลัยขอนแก่น ศึกษารูปแบบของนิคมฯ เพื่อรองรับการค้าและอุตสาหกรรมเชื่อมโยงประเทศเวียดนาม ประเทศลาว และ4.นิคมฯบริการที่แม่สอด ภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก โดยทั้งหมดจะต้องดำเนินการภายใต้นิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ (อีโคทาวน์)
นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ อดีตผู้ว่าการ กนอ.กล่าวว่า ไทยต้องเร่งปรับตัวให้สอดรับการพัฒนานิคมฯทวาย ถือเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการภายใต้กรอบ 3 ด้าน คือ 1.การเปลี่ยนแปลงของโลก ที่ทั่วโลกเริ่มให้ความสนใจกับภูมิภาคเอเชียมากขึ้น โดยในปี 2563 มหาสมุทรอินเดียจะมีขนาดตลาดใหญ่ที่สุดของโลก 2.การเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค ที่จะมีการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ตลอดจนการค้าเสรีต่างๆ ซึ่งแนวโน้มในอนาคตจะเห็นว่าภูมิภาคนี้จะใหญ่ขึ้นและเป็นศูนย์กลางการค้า 3.การเข้าไปตั้งนิคมฯชายแดน เพื่อสอดรับกันถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ทั้งนี้ก็ยังมีความซับซ้อนในการดำเนินการของ กนอ.เอง เนื่องจาก กนอ.มีกฎหมายที่ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.การนิคม พ.ศ.2522 ทำให้การจะไปลงทุนต่างประเทศทำได้ยาก ดังนั้นจึงต้องมีการแก้กฎหมายให้สามารถไปลงทุนต่างประเทศ (ออฟชอร์) ได้ เรื่องนี้ถือเป็นความท้าทาย
"ดีใจที่ตอนนี้ กนอ.เริ่มมีการคิดชิดขอบเพื่อนบ้านแล้ว ซึ่งขณะนี้มีการเปิดเสรีการค้ามากขึ้น การเข้าไปตั้งนิคมฯตามชายแดนถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว โดยเฉพาะการตั้งนิคมฯชายแดนเพื่อรองรับนิคมฯทวาย เพราะนิคมฯทวาย ใหญ่กว่านิคมฯมาบตาพุด ถึง 10 เท่าทีเดียว และไทยเองก็มีความได้เปรียบประเทศคู่แข่งอยู่แล้ว เพราะตั้งอยู่จุดกลางผ่านระหว่างจีนและอินเดียที่เป็นประเทศใหญ่ในภูมิภาคนี้"นายสมเจตน์ กล่าว
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เห็นด้วยที่จะมีการตั้งนิคมฯชายแดน เพราะจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ด้วย และยังจะเป็นการเปลี่ยนฐานอุตสาหกรรมจากการเป็นประเทศที่ใช้แรงงานเข้มข้นไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้และเทคโนโลยีแทน รวมทั้งยังเป็นการกระจายแรงงานไปตามภูมิภาคต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาการแออัดในเมืองหลวง โดยปัจจุบันนิคมฯมีไม่เพียงพอต่อการรองรับการลงทุนมานานแล้ว
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- เสาร์ที่ 7 มกราคม 2555
TAG : |