“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ปรับเกมรุก หันบุกคอนโดส่งแบรนด์ “LEVO ลาดพร้าว 18” ชิมลาง เปิดราคาต่ำกว่าคู่แข่ง 30% เล็ง 3 ปีเพิ่มพอร์ตคอนโด 30% นายชูรัชฏ์ ชาครกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด 2 บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากบริษัทได้ให้ทีมวิจัยศึกษาถึงโอกาสและความเป็นไปได้ของโครงการคอนโดมิเนียมมาหลายปี ล่าสุด บริษัทได้ลงทุนก่อสร้างคอนโดมิเนียมโครงการแรก ตั้งแต่เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา โดยใช้แบรนด์ LEVO พัฒนาโครงการแรกในซอยลาดพร้าว 18 เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์นชิค 8 ชั้นจำนวน 129 ยูนิต สร้างบนที่ดิน 346 ตร.ว. ห้องชุดขนาด 27-33.5 ตร.ม. และ 43 ตร.ม. รวมมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมโอนในไตรมาส 4 ปีนี้
“ทำเลลาดพร้าวยังมีช่องว่างทางการตลาด มีตลาดอยู่อาศัยอพาร์ตเมนต์เช่าค่อนข้างมาก ซึ่งราคาเช่าสูงถึงหลักหมื่น เราจึงคาดว่าน่าจะมีลูกค้าในกลุ่มดังกล่าว หันมาซื้อคอนโดของเราเพื่ออยู่อาศัยแทน เพราะเมื่อเทียบราคาผ่อนแล้วไม่ต่างกันมาก ผู้มีเงินเดือน 3-4 หมื่นบาทซื้อได้ เป็นการจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านหลังแรก”
ราคาขายของโครงการ ในช่วงพรีเซลจะมีราคาขายอยู่ที่ 1.8-2 ล้านบาทปลายๆ คิดเฉลี่ยตารางเมตรละ 6-7 หมื่นบาท เป็นการชูความคุ้มค่า เพราะแม้โครงการจะอยู่ในซอย แต่มีราคาถูกกว่าโครงการริมถนนใหญ่ซึ่งขายกันอยู่ตารางเมตรละ 1 แสนบาท หรือถูกกว่าประมาณ 30% สามารถเดินทางไปยังรถไฟฟ้าใต้ดินหรือจุดสำคัญอื่นๆ ได้
นายชูรัชฏ์ กล่าวว่า ได้เปิดพรีเซลไป 1 เดือน มียอดขายแล้วประมาณ 50% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อจริง แต่ก็มีผู้บริโภคบางส่วน ที่หนีน้ำมาจากพื้นที่น้ำท่วม เช่น บางใหญ่ เพื่อหาบ้านที่ปลอดภัยอยู่ราว 10% แต่เชื่อว่าความต้องการของลูกค้าที่หนีน้ำจะเป็นเพียงความต้องการระยะสั้น หากไม่เกิดน้ำท่วมซ้ำตลาดดังกล่าวก็คงหายไป
สำหรับแผนการทำคอนโด นายชูรัชฏ์ เผยว่า บริษัทได้เตรียมที่ดินไว้สำหรับโครงการต่อไป แต่ยังไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าจะเป็นโลว์ไรส์ 8 ชั้นหรือเป็นอาคารสูงขึ้นอยู่กับโอกาสและความเหมาะสม ส่วนทำเลที่สนใจ ไม่ได้ยึดเฉพาะแนวรถไฟฟ้าสายเก่าและใหม่ แต่อาจจะมีตามแนวทางด่วนร่วมอยู่ด้วย
ทั้งนี้ บริษัทกำลังอยู่ในช่วงการปรับพอร์ตการลงทุน โดยคาดว่าปีนี้จะเริ่มมีสัดส่วนคอนโดมิเนียมที่ 10% และในอีก 3 ปีข้างหน้าจะเพิ่มสัดส่วนของคอนโดมิเนียมเป็น 30% ส่วนผลประกอบการทั้งปี 2554 เดิมตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,150 ล้านบาท เมื่อเกิดวิกฤติน้ำท่วมไตรมาส 4 ทำให้การซื้อขายชะลอตัวลง ส่งผลให้ยอดขายเหลือเพียง 2,000 ล้านบาท
ที่มา : วันที่ 10 มกราคม 2555 ประชาชาติธุรกิจ
TAG : |