"ทาทา สตีล" ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมเหล็กจากอินเดีย เดินแผนรุกตลาดเหล็กก่อสร้างไทยเต็มตัว หวังใช้เป็นฐานเปิดตลาดอาเซียนรับ "เออีซี"
นายลาภทวี เสนะวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ธุรกิจในเครือทาทา สตีล กรุ๊ปอินเดีย เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายจะเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจเหล็กสำหรับงานก่อสร้างในภูมิภาคอาเซียนภายใต้กรอบการค้า ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 และมีแผนรุกตลาดในประเทศไทยด้วยแบรนด์ “ทาทา ทิสคอน” จากเดิมที่ใช้ 3 แบรนด์ คือ บลส., บกส. และเอ็นทีเอส ซึ่งเป็นสินค้าที่ทาทาสตีลเข้าไปซื้อกิจการเมื่อปี 2549 “จากนี้ไปเราจะใช้ ทาทา ทิสคอน ซึ่งเป็นอินเตอร์แบรนด์ของทาทา ส่วน 3 แบรนด์เดิมจะไม่มีในตลาดแล้ว” นายลาภทวี กล่าวและว่า การทำการตลาดในไทยจะทำผ่าน 3-4 กลุ่มเป้าหมาย คือ ตัวแทนจำหน่าย กลุ่มบริษัทรับเหมาก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ตามนโยบายรัฐบาล กลุ่มรับเหมาก่อสร้างงานโครงการอสังหาฯ ตัวแทนจำหน่ายหลักตามภูมิภาคต่างๆ และส่งสินค้าออกไปจำหน่ายต่างประเทศ โดยตั้งเป้ายอดขายปี 2554 ไว้ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นปริมาณสินค้าที่ 1.2-1.4 ล้านตัน และจะพยายามรักษาระดับการขายเฉลี่ย 1 แสนตัน/เดือน จากปริมาณการขายดังกล่าวคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 25-30% โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตทั้ง 3 โรงงานอยู่ที่ 1.5 ล้านตัน/ปีและในอนาคตมีเป้าหมายที่จะผลิตเพิ่ม 1.7 ล้านตัน/ปี โดยในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ บริษัทได้ลงทุน 3,000-4,000 ล้านบาทสำหรับสร้างเตาหลอมเพิ่มเพื่อรองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยเป็น 2 ล้านตัน/ปี และมีแผนจะลงทุนเพิ่มเติมอีก เพื่อขยายกำลังการผลิตให้ได้ถึง 3 ล้านตัน/ปี แผนงานดังกล่าว คงต้องพิจารณาปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจโลกทั้งจากยุโรป และอเมริกา ประกอบด้วย แผนขยายกำลังการผลิตดังกล่าว เพื่อรองรับความต้องการของตลาดในประเทศ และในภูมิภาคอาเซียน โดยตลาดในประเทศนั้น หากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐบาลเดินหน้าตามแผนงานจะทำให้ปริมาณการใช้เหล็กในประเทศสูงมาก จากปัจจุบันปริมาณความต้องการของตลาดเหล็กในไทยอยู่ที่ 2.8 ล้านตัน ขณะที่กำลังการผลิตโดยรวมทั้งประเทศอยู่ที่ 5.5 ล้านตัน/ปีสำหรับเหล็กทรงยาว และ 8.5 ล้านตัน/ปี สำหรับเหล็กทรงแบน และหากภาคการก่อสร้างขยายตัวต่อปีอยู่ที่ 4-5 จะทำให้ตลาดเหล็กเติบโต 8-9% อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าตลาดเหล็กมีความเสี่ยง จากการผันผวนด้านราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตที่มีแนวโน้มปรับขึ้น แต่บริษัทจะใช้ความได้เปรียบจากบริษัทแม่ ที่มีธุรกิจในเครือที่ทำหน้าที่จัดหาวัตถุดิบป้อนโรงงานผลิตเหล็กในกลุ่มทาทา สตีล นอกจากนี้ ยังเผชิญกับภาวะการแข่งขันของตลาดที่ใช้กลยุทธ์ด้านราคาขายของผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็ก ที่ไม่ได้มาตรฐานการผลิตตามที่ระบุใน มอก.หรือที่เรียกว่า เหล็กเบา ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้เข้ามาแย่งตลาดกว่า 30 % ซึ่งคงต้องฝากไปยังหน่วยงานรัฐต้องเข้ามาควบคุมดูแล ในส่วนของบริษัทเองก็พยายามที่จะสื่อสารให้กับผู้บริโภคเข้าใจ อนึ่ง ทาทาสตีลกรุ๊ป อินเดีย เป็นผู้ผลิตเหล็กก่อสร้างรายใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก ด้วยยอด 28 .7 ล้านตัน มีโรงงานผลิตเหล็กที่ยุโรป 18.4 ล้านตัน, ที่อินเดีย 6.8 ล้านตันจะเพิ่มเป็น 10 ล้านตันในอนาคต และที่สิงคโปร์ 2 ล้านตัน ส่วนในไทยเข้ามาลงทุนเมื่อปี 2549 โดยเข้าซื้อกิจการ 3 บริษัทใหญ่ในไทย คือบริษัท เหล็กสยาม (2001) จำกัด ที่สระบุรี, บริษัท เหล็กก่อสร้างสยาม จำกัด ที่ระยอง และบริษัท เอ็นทีเอสสตีล กรุ๊ป ชลบุรี
ที่มา : วันที่ 18 สิงหาคม 2554 กรุงเทพธุรกิจ
TAG : |