บิ๊กอิตาเลียนไทยฯยันโปรเจ็กต์ทวายเฟสแรก 1 แสนล้านไม่เคว้ง รอรัฐบาลไทย-พม่าเคาะรูปแบบลงทุนสร้างถนนและท่าเรือน้ำลึก หลังลดสัดส่วนหุ้นเหลือ 25% เร่งหาผู้ร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าและนิคมอุตสาหกรรมเพิ่ม เผยราชบุรีโฮลดิ้งประเดิมแล้ว 30% พม่าจี้สร้างเฟสแรกให้เสร็จในปี"58

นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ยืนยันการเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและอุตสาหกรรมนิคมทวายในประเทศพม่ายังเดินหน้าต่อ และไม่เคว้งอย่างที่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ ล่าสุดอยู่ระหว่างหาผู้ร่วมลงทุนและแหล่งเงินที่จะนำมาลงทุนก่อสร้างโครงการ

รอความชัดเจนหลัง 8 พ.ย.นี้

"เรารอรัฐบาลประกาศแผนการเข้าร่วมลงทุนโครงการนี้ร่วมกับบริษัทลูกคือ บริษัท ทวาย ดีเวลล๊อปเมนต์ จำกัด หรือ DDC จะเป็นรูปแบบไหนถึงจะดี และใครมาถือหุ้นบ้าง เช่น หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หลังประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทยและพม่า วันที่ 7-8 พฤศจิกายนนี้จะชัดเจน และยังมั่นใจว่ารัฐบาลจะช่วยเรื่องเงินทุนก่อสร้าง"

นายเปรมชัยกล่าวต่อว่า ทั้งนี้บริษัทเสนอรูปแบบให้รัฐบาลพิจารณาประกอบการตัดสินใจ จะเข้ามาช่วยหาแหล่งเงินทุนก่อสร้างในส่วนของถนนขนาด 4 ช่องจราจร ระยะทาง 132 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างชายแดนไทยที่ด่านบ้านพุน้ำร้อนกับท่าเรือทวาย และสร้างท่าเรือน้ำลึก มีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 100,000 ล้านบาท จากทั้งโครงการใช้เงินลงทุน 300,000 ล้านบาท

"จะร่วมลงทุนกัน 3 ฝ่ายคือ บริษัทสัดส่วน 25% ที่เหลือเป็นรัฐบาลไทยและองค์การเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น หรือไจก้า สัดส่วนประมาณ 20% พร้อมกับเงื่อนไขให้เงินกู้ประมาณ 80% ซึ่งล่าสุดก็ยังสนใจเข้ามาร่วมลงทุนด้วย ตอนนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลไทยจะหาแหล่งเงินทุนจากไหน จะใช้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากญี่ปุ่น หรือจากที่ไหนก็ได้" นายเปรมชัยกล่าวและว่า

เนื่องจากไม่ใช่โครงการพัฒนาเชิงพาณิชย์หรือคอมเมอร์เชียล ทำให้การหาแหล่งเงินกู้ในระยะยาวค่อนข้างลำบาก กว่าจะคืนทุนจะใช้เวลานานกว่าปกติ เพื่อให้โครงการเดินหน้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทางรัฐบาลไทยจึงต้องเข้ามาช่วยเหลือ

"ต้องเร่งผลักดันถนนและท่าเรือให้เกิดการก่อสร้างก่อนเพื่อความมั่นใจ แล้วการลงทุนพัฒนาต่าง ๆ จะตามมา หลังมีระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับแล้ว"

นายเปรมชัยกล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันบริษัทจะเร่งหาผู้ร่วมลงทุนในส่วนของโรงไฟฟ้าและนิคมอุตสาหกรรม จากปัจจุบันบริษัทยังถือหุ้นอยู่ 100% แต่เมื่อได้ผู้ร่วมลงทุนแล้วจะลดสัดส่วนลง คาดว่าจะให้เหลือประมาณ 60% ล่าสุดมีทางบริษัทโรงไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งสนใจจะร่วมลงทุนแล้วในสัดส่วน 30%

ชงข้อมูลปูเจรจาพม่า

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ประเด็นที่จะหารือร่วมกันระหว่างผู้บริหารระดับสูงระหว่างไทย-พม่า ในวันที่ 7-8 พฤศจิกายนนี้ ในการพัฒนาโครงการทวายจะพิจารณาถึงโครงการสำคัญที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2556 และให้แล้วเสร็จในปี 2558 ตามที่รัฐบาลพม่าต้องการให้บริษัทอิตาเลียนไทยฯ ผู้รับสัมปทานบริหารโครงการดำเนินการให้เสร็จ

มี 3 โครงการ คือ 1.โครงการถนนจากโครงการทวายถึงชายแดนไทย-พม่า (บ้านพุน้ำร้อน) รวมระยะทาง 132 กิโลเมตร 2.โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย และ 3.โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าและสายส่งระยะเริ่มแรกในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ขนาด 33 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับการก่อสร้างถนนและท่าเรือ

"จะนำผลสรุปร่วมกันให้นายกรัฐมนตรีไปแถลงการณ์ร่วมในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 21 วันที่ 18-20 พฤศจิกายนนี้ เพื่อประกาศความพร้อมเดินหน้าโครงการ และมีความจริงใจในการสนับสนุนการพัฒนาประเทศพม่า"

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะมาพิจารณาโครงการต่าง ๆ ที่จะลงทุนในฝั่งประเทศพม่า โดยเฉพาะโครงการที่บริษัทอิตาเลียนไทยฯไม่สามารถลงทุนได้ ให้ศึกษาผลตอบแทน เงินลงทุนและระยะเวลาคืนทุนของแต่ละโครงการที่จะลงทุน เช่น ถนน ท่าเรือน้ำลึก แล้วใช้เป็นเกณฑ์กำหนดสัดส่วนในการร่วมลงทุน และทางเลือกรูปแบบการลงทุนต่อไป

รวมถึงการพิจารณารูปแบบการลงทุนแบบการร่วมลงทุนที่เหมาะสม ทั้งประเทศผู้ร่วมลงทุน การร่วมลงทุนของภาครัฐและเอกชนและแนวทางการกำหนดสัดส่วนการลงทุน

เช่น จัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ หรือเอสพีวี ควรประกอบด้วยไทยและพม่าเป็นหลัก และมีบริษัทอิตาเลียนไทยฯร่วมด้วย แต่หากประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น ต้องการเข้ามาร่วมลงทุนไม่ว่ารูปแบบเงินลงทุนหรือเงินกู้ ทางบริษัทอิตาเลียนไทยฯที่ได้รับสัมปทานจากพม่าจะโอนสิทธิ์บางส่วนที่ได้รับมาให้กับรัฐบาลไทยและผู้ร่วมลงทุนเพื่อเป็นการชดเชย

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า โครงการทวายไม่ได้เคว้ง แต่ต้องทยอยพัฒนาโครงการ ซึ่งทางรัฐบาลไทยและพม่าอยู่ระหว่างหารือร่วมกันจะช่วยเหลือรูปแบบไหนได้บ้างที่เดินหน้าไปได้ด้วยดีและไม่เสี่ยงเกินไป ยังไม่ได้ข้อสรุป ยังไงรัฐบาลจะต้องเข้าไปช่วยเหลือเรื่องการลงทุนถนนและท่าเรือ มูลค่า 100,000 ล้านบาท เพราะเป็นการลงทุนที่คืนทุนถึง 40 ปี

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

ร่วมแสดงความคิดเห็น