" รู้อย่างช่าง สร้างอย่างปราชญ์ "

 


Knowledges



Banner Web eBuild
Banner Web eBuild
Banner Web eBuild
หน้าหลักข่าวก่อสร้าง     ข่าวเศรษฐกิจก่อสร้าง  
NEWS พลัสฯ ตีปี๊บ ชี้ 1 ปีหลังน้ำท่วมอสังหาฯ ส่งสัญญาณบวก ฟันธงครึ่งปีหลัง "ราคา" ขาขึ้นชัวร์ไม่มั่วนิ่ม
วันที่ลง : 31-Aug-2012   จำนวนคนอ่าน 1021

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า อัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในช่วงครึ่งปีแรก 2555 มีทิศทางที่ดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลง เงินบาทอ่อนค่าลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ ส่งผลให้ดัชนีความต้องการบ้านหลังใหม่เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 78.6 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปลายปี 2554 เพิ่มขึ้น 5.50 ทั้งนี้ ค่าดัชนีปัจจุบันเริ่มมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์อุทกภัยจากปีก่อนเริ่มคลี่คลาย แสดงถึงความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลและผู้ประกอบการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง

และเมื่อพิจารณาถึงดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง พบว่ามีอัตราเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงกว่าปีที่ผ่านมาจากค่าดัชนี 120.4 เป็น 124.6 หรือเพิ่มขึ้น 4.20 หรือคิดเป็น 10 – 15% จากการปรับค่าแรงและความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างเป็นจำนวนมากในการซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือน และเส้นทางคมนาคม ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย โดยธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน เนื่องจากผู้บริโภคมองหาเฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆ มาทดแทนเฟอร์นิเจอร์ที่ชำรุดหลังเหตุการณ์อุทกภัย รวมทั้งปัจจุบันก็มีผู้ประกอบการได้พยายามมองหาทางเลือกใหม่ๆ ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่กังวลเกี่ยวกับน้ำท่วมด้วยเช่นกัน และจากภาพรวมดังกล่าวจึงสามารถสรุปได้ว่า ภาพเศรษฐกิจโดยรวมในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวได้ดีขึ้น  อย่างไรก็ตามยังคาดว่าจะต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาน้ำมัน ราคาวัสดุก่อสร้าง และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นไปอีกระยะหนึ่ง

“หากเจาะลึกลงมาที่ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ ในช่วงหลังเหตุการณ์อุทกภัย พบว่า อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทในพื้นที่น้ำท่วมไม่ได้ซบเซาไปอย่างที่หลายฝ่ายวิตก ตรงกันข้ามกลับมีอัตราการเติบโตเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้  โดยเฉพาะอสังหาฯ แนวราบ ซึ่งในปีนี้ตลาดอสังหาฯ โดยรวม ฟื้นตัวขึ้นประมาณ 10 – 15 เปอร์เซ็นต์ หลังได้รับผลกระทบจาก เหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา  ทั้งนี้เกิดจาก 4 ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเติบโตในภาคอสังหาฯ คือ ปัจจัยที่ 1 ปริมาณความต้องการบ้านที่ชะลอตัวจากช่วงปลายปีที่ผ่านมา ประการที่ 2 ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศนโยบาย เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำคงที่นาน 5 ปีเพื่อช่วยผู้ประสบอุทกภัย (Soft-loan) ประการที่ 3 ความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าหรือบ้านพักตากอากาศสูงขึ้นเพื่อใช้เป็นบ้านหลังที่สอง หากเกิดเหตุการณ์อุทกภัยเกิดขึ้นอีก และปัจจัยประการสุดท้ายคือ นโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาล” นายอนุกูลกล่าวถึงภาพรวมอสังหาฯ หลังอุทกภัยและปัจจัย ส่งผลทางบวก

ทั้งนี้ ตลาดอสังหาฯ แนวราบในพื้นที่น้ำท่วมโดยส่วนใหญ่ ได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติตั้งแต่เดือนมีนาคม ที่ผ่านมา เนื่องจากบรรดาผู้ประกอบการต่างสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยระบบป้องกันน้ำท่วม รวมถึงการนำเสนอโปรโมชั่น ประกันภัยเพื่อเสริมความมั่นใจแก่ลูกค้า จึงทำให้ลูกค้าคลายความกังวล โดยบางพื้นที่ถือว่าฟื้นตัว 100% แล้ว ส่วนบางพื้นที่ เช่น ย่านบางบัวทองตลาดฟื้นตัวแล้ว 70-80% ของยอดขายปกติ อาจเป็นเพราะกำลังซื้อส่วนหนึ่ง รอให้ผ่านช่วงหน้าฝน เพื่อพิจารณาว่าจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมอีกหรือไม่

“เหตุการณ์อุทกภัยที่ผ่านมาเป็นเพียงปัจจัยลบชั่วคราว ไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพราะประชาชนส่วนใหญ่ ยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจำนวนมาก โดยบ้านเดี่ยวยังคงได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ที่ 47% รองลงมาคือ คอนโดมิเนียม 42% และทาวน์เฮาส์ 11% จะเห็นได้ว่ามหาอุทกภัยกระทบความรู้สึกของคนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่กลับไม่กระทบต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่ยังคงต้องการบ้านเดี่ยวสูงสุด แม้โครงการดังกล่าวจะตั้งอยู่ในย่านที่ประสบอุทกภัยก็ตาม ซึ่งเหตุผลในการตัดสินใจซื้อส่วนใหญ่จะมองที่ทำเลเป็นอันดับ 1 คือ 35% ราคาที่เหมาะสม 22% และรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ตรงกับความต้องการ 20% สำหรับทำเลที่เลือกส่วนใหญ่จะยังเป็นทำเลที่ตนเองคุ้นเคย โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอุทกภัย ทั้งนี้ พบว่าโซนชั้นกลางและตะวันออก เช่น ลาดพร้าว บางนา และบางเขน ยังมีความต้องการซื้อสูงสุด คือ 40% รองลงมา คือ โซนชั้นใน เช่น พญาไท ห้วยขวาง จตุจักร ฯลฯ ประมาณ 33% ส่วนโซนชั้นนอกที่รวมโซนตะวันตก และโซนทิศเหนือ มีความต้องการรวมกันประมาณ 14%  ขณะที่ความต้องการ ที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดมีจำนวน 2% ในขณะที่โซนตะวันตกที่ถือเป็นหนึ่งในเขตชั้นนอก แม้จะประสบปัญหาอุทกภัย เมื่อปีที่ผ่านมา แต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยก็ยังมีอยู่ ซึ่งเชื่อมั่นว่ากระแสความต้องการจะกลับสู่สภาวะปกติ ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ โดยปัจจัยสนับสนุนต่อการเติบโตของตลาดแนวราบในพื้นที่ทางทิศตะวันตก สิ่งที่น่าสนใจคือ ทำเลบริเวณบางแค ถนนราชพฤกษ์, กัลปพฤกษ์ และเพชรเกษม นอกจากเป็นทำเลแหล่งอำนวยความสะดวก รองรับการคมนาคม เข้าสู่ใจกลางเมืองได้หลายเส้นทางและมีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสแล้ว ยังเป็นเส้นทางสายตะวันตกเชื่อมไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังมีการลงทุนเมกะโปรเจกต์ด้วย ส่วนภาพรวมในต่างจังหวัดนั้น คาดว่าจะมีปริมาณความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะกระแสบ้านหลังที่ 2 และบ้านพักตากอากาศ ตลอดจนกลุ่มผู้ที่ต้องการกลับสู่ภูมิลำเนาเดิมและคนที่ต้องไปทำงานในระยะยาว” นายอนุกูล กล่าว

หากวิเคราะห์ถึงภาพรวมพฤติกรรมผู้บริโภคหลังเหตุการณ์อุทกภัย พบว่า ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนักเนื่องจากกระแสความต้องการส่วนใหญ่ยังอยู่ในแนวราบ ซึ่งถือเป็นความต้องการที่แท้จริงของตลาด “กลุ่มความต้องการที่อยู่อาศัยในแนวราบเกือบ 100% เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ไม่ได้เน้นที่การลงทุนแต่อย่างใด ดังนั้นพฤติกรรมในการเลือกซื้อคงไม่แตกต่างจากเดิม เว้นเพียงเรื่องระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อที่นานขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ส่วนการซื้อคอนโดมิเนียมก็คงมีการตัดสินใจซื้อที่เร็วกว่าหากมีอยู่ในทำเลที่ดี ใกล้รถไฟฟ้า เหมาะสม ทั้งการอยู่อาศัยหรือลงทุนด้วยการปล่อยเช่า

เหตุการณ์อุทกภัยทำให้ผู้บริโภคนอกจากการพิจารณา เรื่องทำเล ราคา และรูปแบบโครงการแล้ว คนยังใส่ใจในชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น โดยจะพิจารณาจากในช่วงอุทกภัยว่า ผู้ประกอบการรายใดที่ดูแลลูกบ้านดี ก็จะเชื่อมั่นซื้อในโครงการของผู้ประกอบการรายนั้นๆ แทนที่จะเลือกซื้อโครงการจากผู้ประกอบการรายเล็กๆ ที่เสนอขายในราคาที่ถูกกว่าดังเช่นในอดีต  ซึ่งจะสะท้อนความพึงพอใจ หรือไม่พึงพอใจผ่านกระแส Social Network ดังที่ปรากฎ ณ ปัจจุบัน” นายอนุกูลกล่าววิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค

“สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนคือ “การตื่นตัวรับมืออุทกภัยของเหล่าผู้ประกอบการ”  ผู้ประกอบการ ที่มีโครงการตั้งอยู่ในเขตที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยจะมีการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ ลูกบ้านและผู้บริโภคที่กำลังมองหาบ้านมากขึ้น โดยทำในรูปแบบต่างๆ คือ

1.) ป้องกัน โดยการถมโครงการให้สูงขึ้น  ยกถนนสูงรอบโครงการเพื่อเป็นเขื่อนกันน้ำ ก่อกำแพงให้สูงขึ้น ยกปลั๊กไฟขึ้นสูง  พร้อมยาแนวอุดรูรั่วรอบโครงการ 

2.) แก้ไข โดยการขุดบ่อพักน้ำ ระบบสูบระบายน้ำ เพื่อให้น้ำออกจากโครงการได้เร็วที่สุด

3.) เยียวยา จัดซื้อประกันอุทกภัยเป็นหนึ่งในกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อมอบเงินชดเชยแก่ลูกค้าในทุกหลัง โดยในขณะนี้มีวงเงินประกัน ที่ทางบริษัทอสังหาฯ มอบให้ตั้งแต่ 1 แสน – 9 แสนบาท เป็นต้น

ด้านภาพรวมการผุดโครงการใหม่นั้น ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายรายได้มีการขยายการพัฒนาโครงการข้ามาในเมืองในรูปแบบคอนโดมิเนียมและขยายการพัฒนาไปยังจังหวัดที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน หากมองถึงการปรับตัวด้านราคาที่อยู่อาศัย เชื่อว่าจะมีการขยับราคาขายสูงขึ้นกว่าที่ผ่านมาประมาณ 10 - 15% จากราคาที่ดินที่สูงขึ้น การปรับราคาวัสดุและปัญหาค่าแรง แต่อย่างไรก็ตาม การขึ้นราคาที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากนัก” นายอนุกูลกล่าวสรุป



ที่มา :  30 ส.ค. 2555  ประชาชาติธุรกิจ



TAG :พลัสฯ ตีปี๊บ ชี้ 1 ปีหลังน้ำท่วมอสังหาฯ ส่งสัญญาณบวก ฟันธงครึ่งปีหลัง "ราคา" ขาขึ้นชัวร์ไม่มั่วนิ่ม ,ข่าวอสังหา,อสังหาริมทรัพย์,บ้าน,ที่อยู่อาศัย,ข่าวผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง,ข่าวก่อสร้าง,อีบิลด,eBuild,ข่าว,คอนโด,คอนโดเปิดใหม่

ร่วมแสดงความคิดเห็น

ชื่อ
Comment
กรุณาป้อนข้อมูลตามที่ปรากฏ

ข้อความในส่วนแสดงความคิดเห็น
เงื่อนไข การร่วมแสดงความคิดเห็นข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เจ้าของเว็บบอร์ดไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือ ชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ feedback@ebuild.co.thเพื่อให้ผู้ควบคุมระบบทราบและทำการลบข้อความนั้น ออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้





สินค้าหมวดสถาปัตย์
สินค้าหมวดโครงสร้าง
แหล่งความรู้
eBuild Team
www..co.th
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล Privacy Policy
Copyright 2009 Ebuild Co., Ltd. All Rights Reserved.