"นาม" ขยายกำลังผลิตสุขภัณฑ์ให้ทันสิ้นปี จาก 5 แสนสู่ 9 แสนชิ้นต่อปี จ่อผลิต Villeroy&Boch เอง ลดต้นทุนนำเข้า สร้างโอกาสตลาดบน ตั้งเป้าโต15% นายสุเมธ อินทามระ รองกรรมการผู้จัดการสายการตลาดและส่งออก บริษัท นาม สุขภัณฑ์ จำกัด ในเครือ Villeroy & Boch กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ใช้งบประมาณ 200-300 ล้านบาท ทยอยปรับปรุงและขยายโรงงานที่จังหวัดสระบุรี รองรับการเติบโตของธุรกิจ ด้วยการสร้างอาคารใหม่ นำเข้าเตาไฟ เพิ่มความพร้อมในโรงงาน คาดว่าในสิ้นปีนี้จะขยายการผลิตจากเดิมที่ 500,000 ชิ้นต่อปี สู่ 900,000 ชิ้นต่อปี

พร้อมกันนี้ จากเดิมที่บริษัทต้องนำเข้าสินค้า  Villeroy & Boch ของบริษัทแม่ แต่หลังจากขยายกำลังการผลิตแล้ว จะให้โรงงานแบ่งสัดส่วนการผลิตสินค้าทั้งแบรนด์นาม และแบรนด์ Villeroy & Bochออกเป็นแบรนด์ละ 450,000 ชิ้นต่อปี คาดว่าจะทำให้สินค้าแบรนด์ Villeroy & Boch ราคาถูกลงจากเดิมที่ตกชิ้นละประมาณ 40,000-50,000 บาท เหลือเพียงประมาณ 10,000 บาทต้นๆ สามารถเข้ามาบุกตลาดสุขภัณฑ์ระดับบนในตลาดได้

“ในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีก 3 ปีข้างหน้า มั่นใจว่าจะได้รับความไว้วางใจจากบริษัทแม่ ให้เป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกสินค้าแบรนด์ Villeroy & Boch ในแถบอินโดจีนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นยังไม่มีแผนการขยายโรงงานเพิ่มเติมให้ได้มากกว่า 900,000 ชิ้นต่อปี แต่หากในอนาคตมีแนวโน้มที่ดี บริษัทก็มีที่ดินเดิมพร้อมสำหรับขยายโรงงานอยู่แล้ว” นายสุเมธกล่าว

ทั้งนี้ อุปสรรคของธุรกิจในปัจจุบันคือเรื่องแรงงาน ในส่วนของบริษัทประสบปัญหาแรงงานขาดแคลนอยู่ราว 500-600 คนทั้งที่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตั้งแต่ก่อนวันที่ภาครัฐกำหนด บริษัทจึงต้องปรับตัวด้วยการใช้แรงงานต่างด้าว ต้องสร้างประสิทธิภาพแรงงานโดยการสอนงานให้เป็น และพยายามสร้างความรู้สึกให้คนรุ่นใหม่ภูมิใจในการทำงานฝีมือในอุตสาหกรรมสุขภัณฑ์ เพื่อเพิ่มจำนวนแรงงาน

“นอกจากแรงงานหายาก ค่าแรงและค่าน้ำมันก็ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก 20-30% แต่เราปรับราคาได้เพียง 3-5% เท่านั้น เพราะตลาดมีการแข่งขันกันสูงมาก”

ปัจจุบัน มูลค่าตลาดรวมทั้งตลาดอยู่ที่ 4,000-5,000 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาบริษัทถือสัดส่วนการถือครองตลาดอยู่ที่ 12% ภาพรวมในปีนี้เชื่อว่าตลาดรวมทั้งตลาดจะโต 10% และในส่วนของบริษัทจะเติบโต 15% หรือคิดเป็น 500 ล้านบาท จากยอดขาย 400 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนการถือครองตลาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย




ที่มา  :  วันที่ 25 เมษายน 2555   กรุงเทพธุรกิจ

ร่วมแสดงความคิดเห็น