โละสัญญาสัมปทาน "อิตาเลียนไทย" เม.ย.-พ.ค.นี้ ตั้งบริษัทโฮลดิ้งคอมปะนีไทย-เมียนมาร์ ดึงญี่ปุ่นร่วมทุนลุย "ทวายโปรเจ็กต์" คลังดัน "สพพ." เป็นตัวแทนถือหุ้นใน SPV ในนามรัฐบาลไทย เผยแผนระดมทุนยังเคว้ง เหตุจากแบงก์หวั่นมีความเสี่ยงสูง แต่ ก.ค.-ส.ค.นี้จะได้ข้อยุติ
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง
(เจซีซี) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ไทยและเมียนมาร์ตรียมเสนอแนวทางจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPV) บริหารโครงการทวาย เบื้องต้นทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมลงทุน 50% ต่อ 50% จะเริ่มทำสัญญาปลายเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้ จากนั้นจะให้ญี่ปุ่นและประเทศอื่น ร่วมลงทุนด้วย
"หากรอญี่ปุ่นอาจจะไม่ทัน เพราะเพิ่งศึกษาโครงการ แต่ผมยืนยันว่าเขาอยากมาร่วมด้วยใจจะขาด และคิดถึงประเทศที่ 4 ด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษา"
ในส่วนบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือไอทีดี จะไม่มีสัดส่วนหุ้นใน SPV เพราะเมียนมาร์เรียกร้องให้ผู้ถือหุ้นเป็นองค์กรที่เกี่ยวเนื่องกับรัฐบาล เช่น รัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ไอทีดีจะเป็นผู้ลงทุนรายหนึ่งของฝั่งไทยเท่านั้น
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ในส่วนผู้ถือหุ้นฝั่งไทยอาจไม่ลงทุนโดยรัฐบาล จะให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) (องค์การมหาชน) หรือเนด้า ผู้รับผิดชอบ ยอมรับว่าที่ผ่านมาเรื่องการหาแหล่งเงินสำหรับใช้ลงทุนอาจมีปัญหา เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ต้องใช้วงเงินลงทุนจำนวนมาก ทำให้สถาบันการเงินหวั่นเกรงว่าจะมีความเสี่ยง แต่จะชัดเจนขึ้นหลังจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเสร็จเรียบร้อย
นายอรรคศิริ บุรณศิริ ผู้อำนวยการ สพพ. เปิดเผยว่า คลังกำลังหาแนวทางจัดตั้งเอสพีวี ่ระดมทุนปลงทุนโครงการทวาย การให้ สพพ.เข้าถือหุ้นในนามรัฐบาลไทย ทำได้ตามกฎหมาย เบื้องต้นใช้เงินหลักร้อยล้านบาท ช่วงจัดตั้งเอสพีวีระยะแรก
ด้านสัดส่วนการถือหุ้นยังไม่ได้ข้อสรุป สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างว่าจ้างที่ปรึกษาศึกษา จะได้ข้อสรุปในอีก 4 เดือนข้างหน้า ก.ค.-ส.ค.นี้ จะรู้ว่ารูปแบบของเอสพีวีจะเป็นอย่างไร รวมถึงรูปแบบของบริษัทย่อย แต่การจัดตั้งโฮลดิ้งคอมปะนีน่าจะดำเนินการในประเทศไทย เพราะมีความพร้อม ทั้งด้านกฎ ระเบียบ เนื่องจากตลาดทุนไทยค่อนข้างพัฒนาไปมากแล้ว
ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมระดับสูงไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (JHC) ตามมารยาทแล้ว การตัดสินใจว่าจะให้ประเทศใดร่วมถือหุ้น เป็นประเทศที่ 3 หรือมากกว่านั้น ควรจะให้เมียนมาร์เป็นผู้เลือก และไทยก็ไม่ควรถือหุ้นใหญ่
ส่วนการตั้งบริษัทร่วมทุนก็เช่นเดียวกัน รัฐบาลไทยอยากให้เมียนมาร์เป็นผู้ตัดสินใจว่า จะจัดตั้งในประเทศไทย หรือเลือกจดทะเบียนจัดตั้งในประเทศอื่น เพื่อให้เกิดความสบายใจของทั้ง 2 ฝ่าย เพราะไทยไม่ได้ต้องการดึงโครงการมาเป็นของไทยเสียทั้งหมด แต่ต้องการเข้าไปช่วยเมียนมาร์พัฒนาประเทศ ซึ่งก็เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยด้วย
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทยฯ เปิดเผยว่าผลสรุปล่าสุดการเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการทวาย รัฐบาลไทยและเมียนมาร์จะจัดตั้ง SPV เป็น Holding Company บริหารงานและระดมทุนโครงการ โดยถือหุ้น 50:50 และหาประเทศที่ 3 และ 4 ร่วมลงทุน ล่าสุดประเทศญี่ปุ่นตอบรับแล้ว หลังสงกรานต์จะเซ็นเอ็มโอยู"
SPV ตั้งขึ้นมา จะไม่ได้เป็นผู้ลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้ง 8 ด้าน เพราะจะมี SPC หรือนิติบุคคลย่อย 8 บริษัทอยู่ภายใต้ SPV มารับสัมปทานลงทุนแต่ละด้าน จะเป็นการลงทุนของบริษัทเอกชนทั้งหมด ประกอบด้วย ถนน ท่าเรือ โรงไฟฟ้า นิคมอุตสาหกรรม ระบบสื่อสาร ทางรถไฟและการพัฒนาที่อยู่อาศัย เป็นต้น และสัมปทานที่บริษัทเคยได้รับสิทธิจากประเทศเมียนมาร์จะโอนมาให้ SPV"
นายเปรมชัยกล่าวว่า บริษัทเปลี่ยนสถานะจากผู้พัฒนาโครงการมาเป็นผู้ลงทุนใน 8 บริษัทย่อยภายใต้ SPC โดยถือหุ้นได้ตามที่ต้องการในแต่ละบริษัท ในนามบริษัท ทวาย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด หรือ DCC แต่ละบริษัทจะมีสัดส่วนถือหุ้นไม่เท่ากัน
เบื้องต้นได้ข้อสรุปด้านถนนและท่าเรือที่บริษัทแจ้งทางรัฐบาลไทยขอถือหุ้น 25% อีก 6 บริษัทที่เหลือบริษัทอยู่ระหว่างหารือผู้ร่วมทุนและพิจารณาสัดส่วนถือหุ้น จะได้ข้อสรุปเดือน พ.ค.นี้
"การเข้าไปถือหุ้นใน 8 บริษัทย่อยรัฐบาลให้เราถือในสัดส่วนที่ต้องการ เราจะแปลงทุนที่ลงไปก่อนหน้านี้ 6,000-8,000 ล้านบาท สร้างท่าเรือ ถนน โรงไฟฟ้าขนาด 280 เมกะวัตต์ แปลงเป็นหุ้นที่จะเข้าไปถือในแต่ละบริษัท หากไม่พอได้เตรียมเม็ดเงินลงทุนเพิ่มไว้หลายหมื่นล้านบาท" นายเปรมชัยกล่าว

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  (9 เมษายน  2556)

ร่วมแสดงความคิดเห็น