สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (THCA) ประเมินภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศไตรมาส 3 (เดือนก.ค.-ก.ย. 2554) พบว่ากำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคทรงตัว เมื่อเปรียบเทียบกับสองไตรมาสแรก สวนทางกับกลุ่มผู้ประกอบการและสองสมาคมฯ ที่เกี่ยวข้อง ได้เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่ามีแนวโน้มเติบโต ทั้งนี้เกิดจากปัจจัยที่มากระทบ โดยไม่ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะรุนแรง ได้แก่ 1)ปัญหาจากภัยน้ำท่วม 2)ความไม่ชัดเจนของมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของรัฐบาล 3)พฤติกรรมการอยู่อาศัยบ้านเดี่ยวถดถอย 4) ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อธุรกิจรับสร้างบ้านถูกสั่นคลอน โดยปกติในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปีต้องนับว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นหรือช่วงปลุกตลาดของภาคธุรกิจรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดขึ้น เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและมีการแข่งขันของบรรดาผู้ประกอบการกันอย่างคึกคักทุกๆ ปี แต่ปีนี้ต้องยอมรับว่าแรงซื้อและบรรยากาศแผ่วลง สาเหตุเกิดจากปัจจัยที่ไม่อาจควบคุมได้ เช่น สภาพภูมิอากาศ สถานการณ์ด้านการเมืองที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ฯลฯ รวมถึงสาเหตุหลักๆ ทั้ง 4 ประการที่กล่าวข้างต้น
ภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านไตรมาส 3 นี้ มองผ่านตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้น กำลังซื้อไม่คึกคักดังที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคกลางกำลังซื้อในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนที่ผ่านมาน่าจะเติบโตกว่านี้ ส่งผลให้ปริมาณและมูลตลาดโดยรวมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดจึงอยู่ในภาวะทรงตัว อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาส 3 นี้ สมาชิกสมาคมฯ ในพื้นที่ภาคกลาง เช่น อยุธยา สระบุรี นครปฐม ฯลฯ ยังสามารถฝ่ากระแสน้ำท่วมและมีสัดส่วนยอดขายเติบโตกว่าภูมิภาคอื่น ในขณะที่สัดส่วนยอดขายพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลสมาชิกสมาคมฯ ยังมีแชร์ตลาดเป็นอันดับ 1 เมื่อเปรียบเทียบกับทุกภูมิภาค การแข่งขัน
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 นี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่แข่งขันอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมียอดขายบ้านต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ เพราะต่างประเมินว่าตลาดรับสร้างบ้านปีนี้จะขยายตัว แต่ละรายจึงมีแรงกดดันสูงในการแข่งขันช่วงไตรมาส 3 นี้ ขณะที่ต้นทุนกลับเพิ่มขึ้นสวนทาง จากการปรับตัวของราคาค่าขนส่งและวัสดุก่อสร้าง ในส่วนของการแข่งขันนั้นพบว่ากลุ่มบริษัทรับสร้างบ้าน เปิดฉากกระหน่ำแคมเปญและโปรโมชั่นกันตั้งแต่เดือนแรกของไตรมาส 3 เช่น แถมทองคำหนัก 10-30 บาท แจกรถยนต์มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท มอบส่วนลดราคาบ้าน 10-15% ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งบริษัทรับสร้างบ้านหลายรายต้องปรับกลยุทธ์หนีการแข่งขันราคา อย่างเช่นหันไปจับตลาดกลุ่มเป้าหมายใหม่ หรือลูกค้ากลุ่มบนระดับราคา 10-20 ล้านบาทขึ้นไป ฯลฯ
สมาคมฯ คาดการณ์ว่าในอนาคตลาดบนก็คงหนีไม่พ้น การแข่งขันราคาตามมาอีกเช่นเคย หากว่าขนาดของตลาดรับสร้างบ้านโดยรวมไม่มีการขยายตัว ซึ่งจากการสำรวจกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านที่จับตลาดบ้านราคา 10-20 ล้านบาทขึ้นไป ในปัจจุบันพบว่ามีจำนวนมากกว่า 15 ราย เช่น บิวท์ทูบิวด์, ริชชี่เฮ้าส์ ไมก้ากรุ๊ป,มาสเตอร์แปลน 101, แลนดี้โฮม, โฮมดีเวลลอป, โฟร์พัฒนา, รอยัลเฮ้าส์ ฯลฯ ในขณะที่การสำรวจพบว่าความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบน มีจำนวนหรือสัดส่วนคิดเป็น 2-3% ของตลาดรวมทั้งหมด
ฉะนั้นหากผู้ประกอบการต้องการจะหนีการแข่งขันราคา ก็จำเป็นจะต้องสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ทั้งนี้ความแตกต่างที่จะใช้แข่งขันในปัจจุบันนั้น สมาคมฯ มองว่ามิใช่แค่ดีไซน์แบบบ้านหรือคุณภาพเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้ผู้ประกอบการรายไหนๆ ก็ทำได้ ฉะนั้นทางออกคือ ผู้ประกอบการควรร่วมมือกันอย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อสร้างตลาดรับสร้างบ้านในทุกระดับราคาให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทิศทางตลาดโค้งสุดท้ายปีกระต่าย
สมาคมฯ ประเมินว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวจากผลกระทบภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้น หรือมีความเป็นไปได้พอๆ กันที่จะกลับมาฟื้นตัวภายหลังน้ำลดลง ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับแนวทางการแก้ปัญหา และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะการเยียวยาและฟื้นฟูสภาพความเสียหาย รวมทั้งเร่งกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศให้ขยายตัวในช่วงท้ายปี อีกส่วนหนึ่งคือโครงการประชานิยมที่รัฐบาลผลักดันออกมา จำเป็นจะต้องสอดคล้องกับความต้องการส่วนใหญ่และก่อให้เกิดผลดี ทั้งกับภาคธุรกิจและประชาชาทั่วไป มิใช่กระจุกตัวเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น โครงการบ้านหลังแรก
สำหรับตลาดรับสร้างบ้านอาจแยกมองออกได้เป็น 2 ส่วนได้แก่ ตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยทั่วไปการแข่งขันราคายังคงรุนแรง เพราะมีจำนวนผู้ประกอบการอยู่ในตลาดนี้จำนวนมาก ถึงแม้ว่ากำลังซื้ออาจจะไม่ลดลง แต่แชร์ส่วนแบ่งก็กระจายกันออกไป สิ่งสำคัญคือ คู่แข่งในธุรกิจใกล้เคียงหรือสินค้าทดแทน เช่น คอนโดมิเนียม บ้านมือสอง อาจกลายเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบกับภาคธุรกิจรับสร้างบ้าน อันเนื่องมาจาก ประการแรกพฤติกรรมของผู้บริโภครุ่นใหม่ หรือกลุ่มคนเมืองที่ครอบครัวเล็กลงเปลี่ยนไปนิยมที่อยู่อาศัยขนาดเล็กลง ประการถัดมา ผลจากต้นทุนค่าก่อสร้างและราคาบ้านที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ผู้บริโภคหันมาพิจารณาซื้อบ้านมือสองแทนสร้างบ้านใหม่ เป็นต้น
ในส่วนของตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางอีกหลายจังหวัดที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม คาดว่ากำลังซื้ออาจไม่ฟื้นคืนกลับมาทันในช่วงท้ายปี ดังนั้นเชื่อว่าผู้ประกอบการที่ทำตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัด จำเป็นจะต้องหันไปขยายตลาดในพื้นที่ใหม่ๆ เพื่อมาชดเชยกับปริมาณและมูลค่ายอดขายที่หายไป อย่างเช่น พื้นที่ภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก สะท้อนมุมมองต่อการพัฒนาตลาดรับสร้างบ้าน
เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมฯ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการ ที่อยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้านและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ต่อกรณีความรู้ความเข้าใจและการเตรียมตัว เพื่อรับมือกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี (Asian Economic Community) โดยผู้ตอบแบบสอบถามระบุ “ยังไม่ได้ศึกษาและอยู่ระหว่างศึกษา” สัดส่วนคิดเป็น 63% ลำดับถัดมาจำนวน 18% ระบุว่า “อยู่ระหว่างดำเนินการ” และสุดท้ายจำนวน 18% ระบุ “พร้อมแล้ว” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องอยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้าน ส่วนใหญ่หรือประมาณ 81% ยังขาดความรู้ความเข้าใจ และการเตรียมความพร้อมที่จะก้าวสู่เวทีการแข่งขันภายใต้กรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ดังนั้นผู้ประกอบการควรจะต้องหันมาให้ความสำคัญมากกว่านี้ เพราะเหลือเวลาอีก 3 ปี 3 เดือนเท่านั้น
นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจรับสร้างบ้าน ทั้งกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้าน ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงิน ควรจะร่วมมือกันเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจนี้ พร้อมๆ กับสร้างตลาดรับสร้างบ้านให้เติบโตหรือขยายออกไปทั่วประเทศอย่างจริงจัง ทั้งนี้เพื่อผู้ประกอบการที่มีศักยภาพจะได้ขยายการลงทุนไปสู่ตลาดต่างจังหวัด และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง มิใช่ยังมุ่งจะแข่งขันกันอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
เรื่องดังกล่าวสมาคมฯ มีความตั้งใจที่จะผลักดันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเน้นสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายใหม่ๆ ให้เข้ามาสู่ระบบอย่างถูกต้องและมีความเป็นมืออาชีพ หวังมามาทดแทนรายเดิมที่อยู่มานานแต่มีทัศนคติแบบเก่าๆ และไม่เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นวิธี “ใช้น้ำใหม่ ไล่น้ำเก่า” โดยจะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อนประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
สำหรับภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศปีนี้ ต้องยอมรับว่าปัญหาน้ำท่วมกลายปัจจัยลบที่มีผลกระทบตลอดปี โดยที่มิได้คาดการณ์มาก่อนว่าจะได้รับความรุนแรงมากขนาดนี้ ผลจากภัยน้ำท่วมในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาและไตรมาสสุดท้ายปีนี้ คาดว่าความต้องการสร้างบ้านหรือกำลังซื้อจะลดลง รวมถึงอาจจะสร้างความเสียหายกับงานระหว่างก่อสร้างของผู้ประกอบการตามมา โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะประสบปัญหาน้ำท่วม ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนนี้ ฉะนั้นผู้ประกอบการจึงควรมีแผนรับมือไว้ให้พร้อม
สิทธิพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้เคยส่งสัญญาณว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ ทั้งจากกลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจสื่อ จะขยายธุรกิจและเข้ามาแข่งขันในตลาดรับสร้างบ้าน ซึ่งบางรายก็เริ่มทดลองทำตลาดบ้างแล้ว แต่ปรากฏว่ายังไม่สามารถรุกตลาดได้อย่างจริงจัง จึงทำให้ตลาดรับสร้างบ้านปีนี้ยังเป็นการแข่งขันของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็นหลัก อย่างไรก็ดี เชื่อว่ากลุ่มธุรกิจเหล่านี้ยังให้ความสนใจที่จะรุกตลาดรับสร้างบ้านในอนาคต ฉะนั้นรายเดิมที่เป็นเอสเอ็มอีจะต้องให้ความสำคัญ กับการสร้างบ้านเครือข่ายให้เข้มแข็งเพื่อสามารถแข่งขันได้อย่างไม่เสียเปรียบ สรุป
แนวโน้มขนาดของตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 3 มิได้เติบโตขึ้น ขณะที่ในช่วง 1-2 ปีมานี้มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายใหม่ เข้ามาสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านเพิ่มขึ้น สำคัญที่สุดคือ การเข้ามาของผู้ประกอบการหากขาดความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง จะกลายเป็นปัญหาทั้งกับผู้ประกอบการด้วยกันเอง ในแง่ของการแข่งขันที่อยู่นอกระบบและเป็นปัญหาต่อผู้บริโภคที่ถูกหลอกลวง
ในส่วนของแนวทางการปรับตัว ผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบสำคัญๆ ที่สามารถควบคุมได้ดังที่กล่าวมา พร้อมทั้งวางแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในแง่ของภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ ที่ผู้บริโภคมีต่อภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งมิควรให้เกิดข้อพิพาทระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภคซ้ำๆ จนเป็นเหตุให้กลายเป็นข่าวลุกลาม ด้วยการป้องกันและแก้ไขที่ต้นเหตุ มิใช่ปลายเหตุ ก็คือ การมีดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมหรือการไม่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคของฝ่ายผู้ประกอบการ ฯลฯ
ปัจจุบัน หากผู้ประกอบการยังไม่สามารถพัฒนาขีดความสามารถและก้าวสู่ตลาดในพื้นที่ใหม่ๆ หรือตลาดในภูมิภาคของประเทศที่ห่างไกลออกไปได้ อาจจะไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรมากมาย แต่ถ้าในอีก 3 ปีข้างหน้าหรือปี 2558 ประเทศไทยจะเปิดสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี (Asian Economic Community) เมื่อนั้นผู้ประกอบการที่ไม่อาจปรับตัวเอง ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถแข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้านได้อีกต่อไปหรือไม่
ที่มา : ThaiPR.net -- อังคารที่ 4 ตุลาคม 2554
TAG : |