ทุนต่างชาติล้วงคองูเห่าแห่ลงทุนพัฒนาโครงการเองในเมืองไทย มาแรงทั้ง "จีน-ฮ่องกง-สิงคโปร์-ไต้หวัน-เกาหลี-สแกนดิเนเวีย-ดูไบ" จ้องผุดคอนโดฯ ในเมือง-ธุรกิจรีเทล-สำนักงานให้เช่า-บ้านพัก
ตากอากาศ หวังซื้ออนาคตประเทศไทยเป็นฮับของเออีซี

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า วงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยกลายเป็นเป้าหมายการลงทุนของกลุ่มนักลง ทุนต่างชาติมากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปัจจุบัน ก่อนหน้านี้รูปแบบจะเข้ามาเลือกช็อปโครงการบ้านตากอากาศและคอนโดมิเนียมทั้ง ในเขตตัวเมืองชั้นในของกรุงเทพฯ และหัวเมืองตากอากาศปีนี้มีปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจคือ กลุ่มทุนจากต่างประเทศแห่เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการในประเทศไทย พลิกโมเดลจากเดิมที่จะเข้ามาเลือกช็อปโครงการคอนโดฯแบบยกลอต ยกชั้น หรือยกตึก ในทางกลับกันพบว่าหลายรายเข้ามาลงทุนเองหรือสวมบทบาทดีเวลอปเปอร์แข่งกับผู้ ประกอบการไทย กลุ่มหลัก ๆ คือนักลงทุนจากจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน สแกนดิเนเวีย รวมทั้งตะวันออกกลาง

เทียนเฉนฯ บุกหนักบุกจริง

ตัวอย่าง ชัดเจนคือ บริษัท เทียนเฉินอินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มทุนพัฒนาอสังหาฯ ติดอันดับท็อป 5 ในมณฑลเจ้อเจียง เข้าถือหุ้นในเทียนเฉิน ไทยแลนด์สัดส่วน 39% ลงทุนพัฒนาที่ดินในเมืองไทย เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ ทั้งในแง่เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจต่ำเมื่อเทียบกับจีน และวางฐานธุรกิจรับเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในปี 2558

การ เข้ามาของเทียนเฉินฯ เมื่อ 1 ปีที่แล้ว เป็นที่จับตามองของผู้ประกอบการไทยอย่างมาก เพราะเป็นกลุ่มทุนใหญ่ โนว์ฮาวพร้อม ประกาศสร้างคอนโดฯแบรนด์ "ทีซี กรีน" ติดถนนพระราม 9 มูลค่าโครงการรวม 5,000 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 32 ชั้น มี 4 อาคาร แต่จะสร้างก่อน 2 อาคารให้เสร็จใน 1 ปี นับเป็นสปีดการก่อสร้างไม่เคยมีอสังหาฯไทยรายใดทำได้มาก่อนโดย 2 อาคารแรกเริ่มก่อสร้างเมื่อ 28 พ.ค. 2554 แล้วเสร็จกลางปีที่ผ่านมา และเดินหน้าก่อสร้าง 2 อาคารที่เหลือต่อทันที

ก่อนหน้านี้ นายติง หลง เมา และนายวรพงษ์ วิรัตน์มาลี กรรมการผู้จัดการร่วมของเทียนเฉิน (ไทยแลนด์) กล่าวว่าบริษัทใช้วัสดุสำเร็จรูปนำเข้าจากจีนเกือบทั้งหมด นำมาติดตั้งที่หน้างานและควบคุมการก่อสร้างเอง ทำให้สร้างอาคารสูงได้เร็ว แผนลงทุนนับจากนี้คือจะเน้นพัฒนาโครงการแนวสูงและคอมเพล็กซ์ค้าปลีกค้าส่ง เป็นหลัก ทำเลต่อไปที่เตรียมแลนด์แบงก์ไว้คือย่านดินแดงกับพระราม 3

คอลลิเออร์สฯชี้จีนทะลักไม่หยุด

แหล่ง ข่าวจากบริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ความต้องการลงทุนพัฒนาโครงการในไทยของนักลงทุนต่างชาติโดยตรงเริ่มเคลื่อน ไหวคึกคัก ตั้งแต่รัฐบาลโปรโมตแผนลงทุนระบบรางกับความคืบหน้าที่กำลังจะรวมกลุ่ม 10 ประเทศเป็นเออีซีในปี 2558 อย่างน้อยที่สุดมีนักลงทุนจากจีน ฮ่องกง สิงโปร์ ไต้หวัน สแกนดิเนเวีย และดูไบติดต่อศึกษาลู่ทางลงทุน

นับแต่ปลายปี 2555 ถึงปัจจุบัน มีนักลงทุนจีน 3 ราย ติดต่อให้หาผู้ร่วมทุนคนไทยและจัดหาที่ดิน ตั้งงบฯลงทุนรายละ1,000-3,000 ล้านบาท สนใจพัฒนาคอนโดฯ 3 ทำเลคือ พระราม 9 อ่อนนุช รัชดาฯ ราคาขายเริ่มต้นยูนิตละ 2 ล้านบาท

"เหตุผลที่คนจีนสนใจเข้ามาลงทุน เพราะขณะนี้อสังหาฯเมืองไทยค่อนข้างบูม แม้เป็นธุรกิจที่เสี่ยงสูงแต่ได้ผลตอบแทนสูง ในอนาคตเมื่อเปิดเออีซีต่างชาติก็คาดการณ์ว่าความต้องการซื้ออสังหาฯจะเพิ่ม ขึ้น"

ดูไบ-สแกนดิเนเวีย-สิงคโปร์แจม

นักลงทุนที่น่า สนใจยังรวมถึงทุนสิงคโปร์ โดยกลุ่มแคปปิตอลแลนด์ที่เคยร่วมทุนกับทีซีซีกรุ๊ปของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี และกลุ่มแปซิฟิกสตาร์ ก็สนใจลงทุนอสังหาฯในไทยอีกครั้งในตลาดคอนโดฯไฮเอนด์

ส่วนกลุ่มทุน จากประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ส่วนใหญ่พัฒนาบ้านตากอากาศ ราคาเริ่มหลังละ 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่ ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ห่างจากหัวหิน 100 กิโลเมตร เน้นจับกลุ่มต่างชาติที่เกษียณอายุหรือแต่งงานกับคนไทย

ล่า สุดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกลุ่มนักลงทุนดูไบได้ติดต่อให้บริษัทจัดหาที่ดินทำเลใจกลางตัวเมือง และศึกษาข้อมูลภาพรวมเศรษฐกิจประกอบการตัดสินใจเข้ามาลงทุนธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากมองว่าเมืองไทยในปัจจุบันมีเสถียรภาพทางการเมืองที่ดี

ขณะ เดียวกันไทยมีจุดแข็งเป็นเดสติเนชั่น ของนักท่องเที่ยวชาวตะวันออกกลาง เพราะมีทั้งโรงพยาบาลระดับเวิลด์คลาส ขณะที่มีฤดูกาลอื่นคือฤดูฝน ซึ่งชาวตะวันออกกลางชอบมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากดูไบและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งอุณหภูมิสูงถึง 40-56 องศา ทำให้ออกไปพักผ่อนต่างประเทศช่วงฤดูร้อนสูงสุดของปี จึงต้องการลงทุนพัฒนาห้างค้าปลีกพื้นที่ 1 แสนตารางเมตรเพื่อรองรับโดยตรง

ต่างชาติขอสิทธิ์เช่ายาว 50-90 ปี

นาย พนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงก์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อสองเดือนที่ผ่านมา บริษัทได้รับการติดต่อจากนักลงทุนต่างชาติคือ จีน ฮ่องกง มาเลเซีย จำนวน 5 ราย ขอข้อมูลรายละเอียดราคาที่ดินทำเลใจกลางเมือง ทำเลสุขุมวิท สีลม สาทร เพื่อลงทุนพัฒนาคอนโดฯ และสำนักงานให้เช่าเพื่อรองรับการเปิดเออีซี โดยมีงบฯลงทุนเฉลี่ยรายละ 2,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ทางนักลงทุนต่างชาติมีข้อสังเกตว่า รัฐบาลไทยน่าจะแก้ไขปัญหากฎหมายการเช่าอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ เนื่องจากยังไม่จูงใจ เพราะกำหนดให้สามารถเช่าได้เพียง 30 ปี ข้อเสนอคือควรจะปรับปรุงเปิดทางให้ต่างชาติเช่าได้ยาวขึ้นอย่างน้อย 50-90 ปี จะเป็นตัวผลักดันให้มีนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามามากขึ้น เพราะมีความคุ้มค่ากับระดับการลงทุนโครงการละ 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโครงการขนาดใหญ่

มั่นใจลงทุนสูงแต่คืนทุนเร็ว

นาย สหัสชัย ขวัญชื้น รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮาริสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 เดือน บริษัทเพิ่งได้รับการติดต่อจากกลุ่มทุนจีน เกาหลี และไต้หวัน ที่สนใจทำโครงการมิกซ์ยูสที่มีทั้งบ้านและคอนโดฯ ในกรุงเทพฯและพัทยา เหตุผลที่เข้ามาลงทุนเพราะเชื่อว่าธุรกิจอสังหาฯในไทยยังเติบโตได้ แม้จะเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูง แต่สามารถคืนทุนได้เร็ว บริษัทอยู่ระหว่างมองหาที่ดินและนำเสนอรายละเอียดทำเลและโครงการกลับไปให้ นักลงทุนพิจารณาอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทเป็นตัวแทนขายโครงการมิราเคิล หัวหิน ของบริษัท โฮมซิตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กลุ่มทุนรับเหมาจากจีนร่วมทุนกับผู้ถือหุ้นคนไทย ออกแบบมิกซ์ยูส มีทั้งบ้านพักและคอนโดฯตากอากาศ มูลค่าโครงการ 5,600 ล้านบาท คืบหน้าล่าสุดปิดการขายเฟสแรก 2 อาคาร กว่า 300 ยูนิต เตรียมเปิดขายเฟสสองเร็ว ๆ นี้

นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยในโอกาสครบรอบก่อตั้งบริษัท 25 ปีว่า ประสบการณ์เป็นตัวแทนขายโครงการอสังหาฯในประเทศไทยให้กับกลุ่มลูกค้าชาวต่าง ชาติ พบว่ามีกำลังซื้อเข้ามาต่อเนื่อง ที่น่าสนใจคือความเคลื่อนไหวจะคึกคักเป็นพิเศษนับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา ซีบีฯบริหารงานขาย 19 โครงการ มีลูกค้าต่างชาติจำนวน 18% คาดว่าปีนี้สัดส่วนลูกค้าต่างชาติน่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีกเป็น 25% ในปีหน้าถ้าทุกอย่างนิ่ง โดยเฉพาะการเมือง คาดว่าสัดส่วนลูกค้าจะเพิ่มได้ถึง 28-30%


ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  (7  มิถุนายน  2556)

ร่วมแสดงความคิดเห็น