ลักษณะของบ้านทรงไทย จากข้อมูลต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วในบทต้นๆพอจะสรุปลักษณะเฉพาะของเรือนไทยภาคกลางได้ดังนี้ 1. หลักการต้องเป็นเรือนสำเร็จรูป เรือนที่มีขนาดไม่กว้างใหญ่หากต้องการให้มีพื้นที่มากก็สร้างมากหลังเป็น หมู่เรือนหรือต่อเป็น "พะไล" หรือ "โป่งโจ้ง" ยื่นออกมา เรือนไทยนี้นิยมเรียกว่าบ้านทรง "มนิลา" ขนาด 3ห้องหรือ 5 ห้องก็เป็นที่เข้าใจในหลักการ 2. โครงสร้าง ใช้ไม้สักเป็นส่วนใหญ่ ไม้เนื้อแข็งเช่นไม้ตะเคียน ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้แดง ฯลฯ เป็นส่วนประกอบเฉพาะที่เป็นส่วนโครงสร้าง อุปกรณ์การยึดตรึงที่เป็นโลหะเช่น สลักเหล็กและตะปูเป็นส่วนน้อย 3. ขนาดเรือน โดยประมาณเฉพาะในสมัยโบราณมาตราวัดระยะเป็นวา -ศอก -คืบ - นิ้ว และการคำนวณปริมาตรหน้าไม้คิดเป็นยก ขนาดเรือนต่างๆ ของเรือนมีดังนี้ 3.1 ตัวเรือน ความกว้างด้านสกัดวัดส่วนในของพรึง 3.00 ถึง 4.00 เมตร (โดยทั่วไป 3.50 เป็นสูงสุด แต่ขนาดที่เหมาะกับการใช้สอยปัจจุบัน 4.00 เมตร) ความสูงจาก พื้นถึงท้องขื่อประมาณ 3.50 เมตร ใต้ถุนสูงจากดินถึงพื้นประมาณ 4/5 ของความกว้าง ด้านสกัด (ความกว้างของขื่อที่ศูนย์กลางหัวเทียน) 3.2 เรือนครัวหรือครัวไฟ ความกว้างด้านสกัด 2.00 ถึง 3.00 เมตร ระยะห้องหนึ่งๆ ยาว 2.00 ถึง 3.00 เมตร ความสูงจากพื้นถึงขื่อประมาณ 3.00 เมตร ใต้ถุนสูงจากดินถึงพื้นประมาณ 2.00-2.50 เมตร หลังคาทรงมนิลาทรงสูงเช่นตัวเรือน 3.3 ระเบียงหรือเฉลียง กว้าง 1.50 -2.50 เมตร (2.00 เมตร เป็นขนาดกำลังเหมาะ) ระเบียงจะต้องมีมาตรฐาน หากไม่มีเป็น"อเนกประสงค์" ระเบียงยาวตลอดเรือน เฉลียงหรือระเบียงครัวคงได้ส่วนกัน แต่ครัวจะไม่มีระเบียงก็ได้สุดแต่ฐานะ 3.4 นอกชาน ไม่มีกำหนดตายตัว สุดแต่ความเหมาะสม มีบันไดขึ้นหน้าบ้านและลงหลังบ้านเป็นบันไดใช้กิจ ขนาดความกว้างยาวและสูงของตัวเรือนจะกำหนดแน่นอนตายตัวไม่ได้ย่อมสุดแต่ "ไม้ที่หาได้ใกล้มือ" เป็นประการสำคัญขนาดกำหนดกว้างยาวของตัวเรือนกำหนดด้วยขนาดความกว้างยาวของ "พรึง" เป็นสำคัญเพราะพรึงมีหน้าที่รัดรอบตัวเรือนและชานและรองรับฝาตัวเรือนทั้ง สี่ด้าน 4. วัสดุมุงหลังคา มุงด้วยหญ้าคา จาก แฝก หรือกระเบื้องดินเผาไม่นิยมใช้กระเบื้องเคลือบดินเผาซึ่งต้องหมดเปลืองแรงคน และค่าใช้จ่าย และจะเป็นเหมือนโบสถ์วิหารหรือวังเจ้านายเป็นการบังอาจทำเทียมเจ้านายถือว่า ไม่เป็นสิริมงคล 5. แปลนเรือน รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและถือการแบ่งห้องเป็นหลักในการออกแบบ กล่าวคือ เรือน 3 ห้อง 5 ห้อง (7 ห้อง 9ห้อง ไม่นิยมเพราะลักษณะเรือนจะยาวใหญ่เป็นวิหารหรือวัง ไม้ก็หาได้ไม่เหมาะ) โดยทั่วไปเรือน 3 ห้องจัดเป็นมาตรฐาน ไม่นิยมสร้างบ้านจำนวนห้องคู่ เช่น 2 หรือ 4 ห้อง การวางตัวบ้านให้ขวางลมเพื่อรับลมใต้ หันจั่วไปด้านตะวันออก ตะวันตก ภายในร่วมเรือนกั้นเป็นห้องนอน 2 ช่วงเสา สำหรับเรือน 3 ห้องและ 3 ช่วงเสา สำหรับบ้าน 5 ห้อง โดยปกติ 2 ช่วงเสาเป็นหนึ่งห้องนอน มีระเบียงและชาน ระเบียงในร่มหลังคาจะลดพื้นหรือไม่ก็ได้ ส่วนมากลดพื้นให้เกิด "ร่องตีนแมว" ชานตากแดดฝนต้องลดพื้น ไม่มีห้องน้ำห้องส้วม สรุปต้องการเพียงห้องนอน ห้องโถงและระเบียงพอแล้วสำหรับตัวเรือน มีเรือนครัวต่างหาก ควรแยกออกไปอยู่ด้นตะวันตก เชื่อมด้วยชาน เพราะเรือนครัวจะบังตะวันตอนบ่ายจะได้ร่มเงาหน้าครัว 6.รูปทรง เป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังคาทรงมนิลาทรงสูงเสริม ชายหลังคาเป็นระเบียงหนึ่งด้านเรียกว่าบ้านทรง "มนิลา" ทรงตอนล่างจากพื้นดินจนสูงจดท้องขื่อ ท่อนล่างที่ระดับดินกว้างกว่าท่อนบนที่ตรงท้องขื่อและ "เอียงสอบ" โดยรอบทั้งสี่ด้าน การเอียงสอบหรือเอียงของเสาระยะนี้ประมาณ 2% การที่ตัวเรือนไทยเอียงสอบเข้า คงจะสันนิษฐานได้หลายประการ หลังคาทรงสูงรูปสามเหลี่ยมเรียกว่าทรง "หน้าจั่ว(Gable)" ความสูงของดั้งประมาณไม่เกิน 4/5 ของความกว้างของห้องด้านสกัด หรือความยาวของขื่อที่ตรงศูนย์ของหัวเทียน เสาเรือนจะเอียงสอบเข้าประมาณ 2% มีไขราหรือชายคารอบ 4 ด้าน และไขราหน้าจั่ว 2 ด้าน มีปั้นลมกันลมตีหัวจากเปิดและตัวปั้นลมจะเอียงออกประมาณ 2 % จากแนวดิ่งภายใต้เชิงกลอนของตัวเรือนจะทำเป็นกันสาดโดยรอบ 3 ด้าน แล้วมาบรรจบกับหลังคาระเบียงรวมเป็น 4 ด้านเพื่อกันแดดฝนและแสงกล้า 7.เพดาน ไม่มีเพดานหรือฝ้าสำหรับกันความร้อนในหลังคาทั้งๆที่น่าจะต้องมีแต่ไม่นิยม ทำที่เป็นเช่นนี้คงเพราะ - เพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงหลังคา - การยึดตรงไม่แน่นพออาจจะมีอันตราย - การทำสำเร็จรูปคงจะยกติดตั้งไม่สะดวก - เปลืองแรงงานซึ่งจะต้องสร้างให้เสร็จในวันเดียว 8.ฝา ฝาไม้ยกเป็นแผงๆ มาติดตั้ง ฝาเป็นแผงนี้จัดทำช่องหน้าต่างหรือประตูประกอบเสร็จ นำมาตั้งตามตำแหน่งแห่งที่ให้แน่นและมั่นคงฝาจะวางบรรจุอยู่ระหว่างหลังพรึง กับใต้แปหัวเสาฝาหัวท้ายด้านสกัดเรียกว่า "ฝาอุดหน้ากลอง" หรือ "ฝาหุ้มกลอง" ฝากั้นห้องเรียกว่า "ฝาประจันห้อง" ฝาด้านสกัดวางอยู่บนพรึงและใต้ขื่อ ที่ใดมีฝาประจันห้องที่นั้นต้องมีเสาดั้งหรือรับรอยต่อฝาประจันห้องซึ่ง มีสองกระแบะหรืองสองแผง ฝาเรือน 3 ห้องรวมฝาระเบียงจะมีประมาณ 13-15 แผง แผ่นฝาตรึงติดกับตัวเสาด้วยตะปู เพียง 4 ตัว คือตีตะปูตรึงที่ 4 มุมของฝาเท่านั้น และเต้าทุกตัวจะทำหน้าที่กระชับฝาให้แน่นอยู่กับที่ด้วย 9.พื้น ไม้หน้ากว้างประมาณ 40 ซม. หนา 4 ซม. ปูยาวท่อนเดียวตลอดความยาวของเรือน โดยทั่วไป 3 ช่วงห้อง ถ้า 5 ช่วงห้องคงจะต้องต่อเพราะหาไม้ยาวตลอดไม่ได้ต่างแผ่นต่างวางบนหลังรอด ไม่ยึดติดกันแน่น จะยึดบ้างเป็นระยะโดยใช้เดือยไม้ไผ่หรือไม้แสมสารหรือใส่ "ลิ้นกระบือ" ซึ่งจะกล่าวในบทต่อไป 10.บันได บันไดเรียกว่า "บันไดเจาะ" เป็นบันไดโปร่งไม่มีราวบันได เป็นบันไดขึ้นมาจากพื้นดินมาที่รั้วชานบ้าน ที่ปลายบนของบันไดมีประตู และซุ้มพักกันแดดฝนบันไดหลังที่ใช้งานมักไม่มีซุ้มประตู 11.การ ยึดตรึง ยึดพรึงติดกับเสาและใช้สลักเหล็กหรืออาจจะใช้ไม้เนื้อแข็งบ้าง เช่น ไม้แสมสาร ไม้เต็ง กำหนดแน่ไม้ไม้ (ในปัจุบันปัญหานี้หมดไปเพราะมีตะปูเหล็ก สลักเหล็กแทน) การยึดกลอนติดแปใช้ตะปู และการยึดฝาติดกับเสาใช้ตะปู
12.การ ฝีมือ ฝีมือช่างประณีต โดยเฉพาะช่างไม้ในการเข้าปากไม้-- ไสกบ -- ลวดบัว ที่จำเป็น กล่าวคือทำด้วยจิตใจแสดงฝีมืออันประณีตและชำนาญเป็นสิ่งสำคัญ ลักษณะเฉพาะของเรือนไทยเท่าที่ได้กล่าวมานี้มิได้เป็นสิ่งแน่ตายตัว หากกล่าวโดยทั่วไปลักษณะบ้านไทยจะบรรยายเป็นตัวอักษรให้เห็นภาพเป็นการยาก จึงจะแสดงภาพเขียนรูปแบบและกฎเกณฑ์ ตามสุภาษิต "สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น ไม่เท่าลงมือทำ" ที่มา :http://www.baanrakkeaw.com/index.php?page=content&id=27
TAG : |