‘Prefab’ เขาทำกันอย่างไร

 คนหลายๆ คนยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับเรื่องราวของ refabrication ที่ผมเขียนถึงไปเมื่อครั้งก่อนว่ามีความทนทานได้ขนาดนั้นเชียวหรือ จากประสบการณ์การไปร่วมบรรยายในหลายๆ งาน ผมพบหลายคนที่เข้ามาคุยด้วย และแสดงความประทับใจว่า เทคโนโลยีการก่อสร้างช่างน่าอัศจรรย์นัก และการสร้างบ้านสักหลังก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป ผมเห็นด้วยครับ และยืนยันอีกครั้งว่า วงการก่อสร้างปัจจุบันมี พัฒนาการไปไกล และอยากให้คนภายนอก โดยเฉพาะผู้บริโภคทั้งหลายได้รับทราบด้วย

ผมจึงจะเล่าเรื่องราวของการสร้างบ้านด้วยระบบ Prefab เพื่อให้ผู้ที่กำลังสนใจจะซื้อบ้านหรือผู้สนใจในระบบ Prefab ว่า บ้านในระบบนี้เค้าสร้างกันอย่างไร จะได้รู้ถึงวิธีการก่อสร้าง เพื่อเป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจเลือกบ้านสักหลัง

    เราลองมาดูซิว่า การที่จะผลิตบ้านออกมาหนึ่งหลังนั้น จะมีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง การก่อสร้างบ้านด้วยระบบ Prefab ก็เริ่มจากการออกแบบทางสถาปัตยกรรมก่อน บ้านในระบบ Prefab จะคำนึงถึงช่องเปิดต่างๆ ขณะออกแบบทางสถาปัตยกรรม เพื่อให้สามารถก่อสร้างได้ง่ายและแข็งแรง โดย สถาปนิกที่ออกแบบจะต้องมีความรู้ด้านการผลิตแผ่น Prefab เพื่อลดปัญหาด้านการผลิต ขนส่ง และประกอบ

     เมื่อได้แบบทางสถาปัตยกรรมแล้ว ก็จะมาถึงขั้นตอนที่พิเศษเฉพาะของระบบ Prefab คือ การแบ่งผนังและพื้นของบ้านทั้งหลังเป็นแผ่นย่อยๆ เพื่อใช้ในการผลิต ในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยวืศวกรที่มีความชำนาญ เพื่อให้แผ่นที่แบ่งออกมา สามารถประกอบกลับเข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะ ไม่ขาดไม่เกิน สามารถผลิตได้ง่าย และมีความแข็งแรง

     แผ่นที่ได้แต่ละแผ่นจะต้องทำการเสริมเหล็ก เพื่อให้มีความแข็งแรง ในขั้นตอนนี้ วิศวกรโครงสร้างจะทำการคำนวณปริมาณเหล็ก ที่ต้องเสริมเพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรงพอสำหรับการขนส่งและรับน้ำหนักตัวบ้าน

     เมื่อได้แบบแต่ละแผ่นแล้ว จะนำมาผลิตที่โรงงาน โดยคอนกรีตแต่ละแผ่นจะถูกผลิตบนโต๊ะแบบ หากเป็นโรงงานที่ทันสมัยแล้ว โต๊ะจะมีความเรียบมาก และขนาดของแต่ละแผ่นจะถูกควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ให้ไม่มีความผิดพลาดเลย หรือมีก็น้อยที่สุดแค่ไม่กี่มิลลิเมตร ขณะเดียวกัน ท่อร้อยสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ และสายอากาศโทรทัศน์ ก็จะถูกฝังไว้ในตำแหน่งที่กำหนด

     เมื่อทุกอย่างได้ติดตั้งแล้ว พนักงานควบคุมคุณภาพจะทำงานตรวจสอบความถูกต้องของตำแหน่งเหล็กเสริม ท่อร้อยสายต่างๆ เพื่อประกันความมั่นใจอีกชั้นหนึ่งว่า ทุกอย่างได้มาตรฐาน จากนั้นก็จะทำการเทคอนกรีต เมื่อเทคอนกรีตเสร็จ เครื่องสั่นจะทำงานเพื่อให้เนื้อคอนกรีตมีเนื้อแน่น เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน โดยเครื่องสั่นที่ใช้ในโรงงานมีประสิทธิภาพมากกว่าเครื่องสั่นที่ใช้หน้างานหลายเท่า คอนกรีตที่ได้มาก็จะแน่นไม่มีรูพรุนและคงทน เมื่อคอนกรีตแข็งได้ที่แล้ว จะทำการขัดผิวหน้าคอนกรีต ผิวหน้าที่ได้ก็เรียบพอๆ กับหน้านางแบบที่โฆษณาครีมทาหน้าเลยทีเดียว

     เมื่ออายุคอนกรีตครบ 8–10 ชั่วโมงแล้ว ก็จะทำการยกขึ้นรถเพื่อส่งไปหน่วยงานก่อสร้าง และทำการติดตั้งต่อไป โดยการอัดคอนกรีตที่8--10 ชั่วโมง สามารถรับน้ำหนักได้ 150 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร (กำลังอัดคอนกรีตที่ 28 วัน สูงกว่าบ้านที่สร้างโดยระบบเสาและคานประมาณ 2–3 เท่าเลยทีเดียว)

     คอนกรีตที่ลำเลียงมาถึงหน้างานก็จะยกขึ้นมาประกอบเป็นตัวบ้าน โดยจะทำได้รวดเร็ว เพราะว่าขนาดของแบบที่ถูกแบ่งนั้นจะมีขนาดพอดิบพอดี ทำให้การประกอบใช้เวลาน้อย นอกจากนั้นแล้ว รอยต่อแต่ละที่ จะมีการเสริมเหล็กเพื่อให้มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ เลยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดการพังบริเวณรอยต่อ

     ยิ่งกว่านั้น ระหว่างรอยต่อแต่ละแผ่นจะทำการปิดประสานด้วยวัสดุพิเศษ เพื่อให้สามารถยืดหดได้ตามอุณหภูมิของอากาศ ทำให้ฝนตกอย่างไรน้ำก็ไม่รั่ว ไม่ซึมเข้าบ้านอย่างแน่นอน รอยต่อแบบนี้จะใช้กันทั่วไปในอาคารที่ทันสมัยในต่างประเทศ เช่น อาคารศาลาว่าการกรุงโตเกียว

     เมื่อโครงสร้างเสร็จแล้ว ก็จะมาเก็บงาน สถาปัตยกรรม โดยงานหลักของระบบ Prefab คือการทาสี (ไม่ต้องฉาบปูนเพราะว่าผิวหน้าเรียบแล้ว) จากเนื้อคอนกรีตมีความคงทน ทำให้สีที่ทาไม่ลอกไม่โป่ง สีของบ้านก็จะดูสวยสดนาน และคงทนกว่าสีที่ทาบนผนังก่ออิฐฉาบปูน

ส่วนการตกแต่งอื่นๆ เช่น วางสุขภัณฑ์ ปูกระเบื้อง ใส่วงกบ ฯลฯ ก็ไม่มีอะไรต่างจากระบบเดิม

     จะเห็นได้ว่า บ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบแผ่นสำเร็จรูปนอกจากจะสามารถสร้างได้เร็วกว่าแล้ว ยังมีความคงทนกว่า คุณภาพเหนือกว่า และแข็งแรงกว่าระบบเสาและคาน ปัญหาเรื่องความแข็งแรง น้ำรั่วก็หมดห่วงกันไป จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้านี้ บ้านที่สร้างด้วยระบบ Prefab จะครองตลาดบ้านจัดสรรอย่างแน่นอน

ที่มา http://www.businessthai.co.th/content.php?data=407662_Business

ร่วมแสดงความคิดเห็น