สถานการณ์ในประเทศยุโรปกำลังวุ่นวาย ทั้งเรื่องการเมืองผลการเลือกตั้งของกรีซที่เพิ่งผ่านพ้นไป ซึ่งส่งผลต่อทิศทางความเป็นไปในสหภาพยุโรป "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ นายอาซีฟ อาหมัด เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย
ไขคำตอบ ความปั่นป่วนทั่วยุโรป มุมมองนักลงทุนอังกฤษที่จะขยายฐานลงทุนหรือทำธุรกิจในไทย และปมเงื่อนไขในกฏหมายนักลงทุน พร้อมมุมมองการเมืองไทย ครบเครื่อง
วิกฤติยุโรปกระทบลงทุนไทย 3 กลุ่ม
ผลกระทบที่เกิดขึ้นในยุโรปและส่งผลต่อการลงทุนของอังกฤษที่มีในไทยนั้นอาจจะแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาทำธุรกิจในไทยและประสบความสำเร็จอยู่แล้ว เช่น ธนาคารหรือธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวไม่ใช่เป็นปัญหาใหม่ และไม่ได้ส่งผลกระทบหรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากปัญหาในยุโรป เพราะหากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงก็น่าจะเกิดเพราะปัญหาจากประเทศไทยมากกว่า
กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่พึ่งพาหรือขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายของคนอังกฤษ เช่น ด้านการท่องเที่ยว สายการบิน หรือการใช้จ่าย เพราะจากเหตุการณ์ในยุโรปทำให้คนอังกฤษใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้จะเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด แต่จะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป กลุ่มที่น่าสนใจที่สุด คือ กลุ่มนักลงทุนใหม่ ซึ่งยังไม่ได้ตัดสินใจหรืออยู่ในช่วงการพิจารณาว่าจะตัดสินใจลงทุนในประเทศไหนดี จะเข้าลงทุนในยุโรป หรือลงทุนในเอเชีย และถ้าจะมาเอเชียจะเข้ามาลงทุนประเทศไหน จะเข้ามาลงทุนในไทย เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ถึงคำถามต่อไปเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐบาล ปัญหาคอร์รัปชั่น แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น ที่กล่าวมานั้นไม่ได้เฉพาะเจาะจงในไทยอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องคำนึงถึง ในทางกลับกันเช่นเดียวกับสิ่งที่นักลงทุนไทยจะไปลงทุนในเมืองนอกก็ต้องคิดถึงปัจจัยต่าง ๆ เพื่อให้คุ้มค่าต่อการลงทุนมากที่สุด
จี้เร่งกฎหมายประกอบธุรกิจต่างด้าว
ท่านทูตอาซีฟได้กล่าวถึงการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทยนั้น ยังติดเกณฑ์ของกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยมองว่าเรื่องที่ไทยควรจะแก้ไข คือ ปัญหาสัดส่วนการเข้าถือหุ้นของบริษัทหรือนักลงทุนต่างชาติที่ค่อนข้างแปลกในบางธุรกิจ เช่น ธุรกิจประกันภัย ซึ่งอนุญาตให้ชาวต่างชาติถือหุ้นได้ 25% และหากชาวต่างชาติถือหุ้นในบริษัทประกันภัยตั้งแต่ 25%-49% ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ก่อน และจากปัญหาน้ำท่วมทำให้ คปภ.มีมาตรการผ่อนปรนกฎเกณฑ์ โดยอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นในบริษัทประกันภัยได้เกินกว่า 49% แต่ไม่เกิน 10 ปีพอถึงปีที่ 10 ต้องลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 49% ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวไม่ใช่ที่ดีนักสำหรับทำธุรกิจหรือการลงทุนในการที่เมื่อเข้ามาลงทุนได้แล้ว หลังจากปรับปรุงทุกอย่างดีขึ้นแล้วให้ลดการถือหุ้นดังกล่าว
นักลงทุนต้องการความมั่นใจ-โปร่งใส
อีกปัญหาที่เป็นปัญหามานานคือการถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่นักลงทุนต่างชาติที่มีสิทธิ์เพียง 30 ปี และหลังจากหมดสัญญาแล้วถึงจะต่อสัญญาใหม่อีกครั้ง ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วนักลงทุนต้องการความแน่นอนและมั่นใจในการลงทุน ไม่ใช่ว่าเข้ามาลงทุนแล้ว หลังจากนั้นไม่ได้รับการต่อสัญญาทำให้สิ่งที่ลงทุนไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งที่นักลงทุนชอบหรือเป็นผลดีต่อนักลงทุน เพราะฉะนั้นภาครัฐควรที่จะมีกฎเกณฑ์ในระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเพื่อที่จะได้เข้ามาลงทุนและวางแผนหรือทุ่มเม็ดเงินในการลงทุนนั้น ๆ รวมถึงกฎเกณฑ์ที่มีความโปร่งใส ดีกว่าที่จะทำให้เกิดการใช้นอมินีหรือช่องโหว่ทางกฎหมายในการถือครองที่ดิน
การที่ไทยกลัวและกังวลว่าหากบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยแล้วจะเข้ามาแย่งงานคนไทยในบางภาคส่วนธุรกิจ หรือบางธุรกิจที่สงวนไว้สำหรับคนไทยนั้น มองว่าไทยควรจะเปิดกว้างให้ต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจหรือลงทุนได้ แล้วกำหนดมาตรฐานที่เป็นสากลมากำกับในการแข่งขัน อาจจะกำจัดความคิดที่ว่าใครเป็นเจ้าของ ยกตัวอย่างเช่น เทสโก้ ที่เข้ามาลงทุนในไทย มีพนักงานที่เป็นต่างชาติเป็นจำนวนน้อย แต่พนักงานที่เป็นคนไทยกว่าพันคน เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่ความจริงที่ว่าต่างชาติจะเข้ามาแย่งงานคนไทย โดยเฉพาะธุรกิจด้านบริการ
ติงเอฟทีเอไทย-อังกฤษล่าช้า
สำหรับการเปิดการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยกับอังกฤษนั้นถือว่าไทยช้ามาก ช้าเกินที่ควรจะเป็น ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ หรือแม้แต่มาเลเซียที่คล้ายกับไทยก็มีความคืบหน้า การทำเอฟทีเอกับไทยยังมีปัญหาอยู่โดยเฉพาะด้านการเมือง เพราะการเจรจาด้านการค้าต้องการ
การเจรจาในระยะยาว ไม่ใช่ในระยะสั้นหรือแค่สัปดาห์ และที่เป็นปัญหายิ่งกว่าคือการที่รัฐบาลไทยไม่เห็นด้วยหรือตกลงอะไรในข้อสัญญา เพราะในการเจรจานั้น เมื่ออังกฤษขอเจรจาแต่กลับต้องติดขัดในการที่จะต้องขอเสียงจากรัฐสภาก่อน และที่เป็นปัญหา
จริง ๆ คือความสามารถของรัฐบาลในการที่จะใส่ใจกับการขอเสียงในสภาหรือการให้ข้อตกลงผ่านจากสภา
ส่วนการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษนั้นมีการค้าที่ดีระหว่างกัน และมองว่าไทยมีความสามารถที่จะออกไปลงทุนยังต่างชาติได้ในขณะนี้ เพราะในขณะนี้ก็มีบริษัทไทยที่เข้าไปลงทุนในอังกฤษ และในปีที่ผ่านมาอังกฤษก็นำเข้าสินค้าจากไทยราว 2.48 พันล้านปอนด์ มากกว่าที่อังกฤษส่งออกมายังไทยซึ่งคิดเป็น 1.36 พันล้านปอนด์ และในปีนี้การส่งออกของอังกฤษมาไทยยังคงเติบโต ในขณะที่การนำเข้าจากไทยน่าจะปรับตัวลดลงประมาณ 10%
กังวลการเมือง-ความรุนแรง-คอร์รัปชั่น
ปัจจัยที่ท่านทูตอาซีฟมองว่าน่ากังวลนั้น ไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นรัฐบาลหรือรัฐบาลจะมาจากพรรคไหน แต่เป็นจรรยาบรรณของรัฐบาล และนโยบายที่รัฐบาลมี เช่น หากรัฐบาลมีปัญหาความรุนแรงก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อทุกฝ่าย และส่งผลลบต่อการลงทุน ความวิตกกังวลของนักลงทุน และการท่องเที่ยว
สิ่งที่สถานทูตกังวลคือไม่สามารถรับรองความปลอดภัยให้กับนักลงทุนหรือนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาไทย เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นต่อไป และสิ่งที่นักท่องเที่ยวควรจะกังวลเป็นสิ่งสุดท้ายในการมาท่องเที่ยวคือ ความกังวลเรื่องการเมือง
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องคอร์รัปชั่นที่เป็นปัญหาใหญ่ เพราะมีตั้งแต่ระดับเล็กจนไปถึงการคอร์รัปชั่นขนาดใหญ่ ใช่ว่านักลงทุนอังกฤษจะปฏิเสธการลงทุนในประเทศที่ไม่มีคอร์รัปชั่น แต่รัฐบาลก็ควรที่จะจัดการกับปัญหานี้ให้ได้
สำหรับความน่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยนั้น ไทยถือเป็นประเทศที่น่าสนใจลงทุน และเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ไทยสามารถที่จะพัฒนาได้ดีและไปได้ไกลกว่า แต่หากว่าไทยยังไม่ปรับปรุงหรือแก้ไขตัวเองก็อาจจะทำให้นักลงทุนที่คิดจะเข้ามาลงทุนในไทยหันไปพิจารณาประเทศอื่นที่มีเงื่อนไขหรือสามารถให้ความมั่นคงและมั่นใจในการลงทุนต่อประเทศนั้น ๆ แทน
ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาหรืออุปสรรคในการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย แต่อังกฤษก็ถือว่าเป็นนักลงทุนต่างชาติในฝั่งยุโรปที่มีการลงทุนเป็นอันดับ 1 หรือ 2 ในไทย และไทยก็ยังอยู่ในความสนใจของนักลงทุนอังกฤษอยู่เสมอมา
ที่มา : 25 มิ.ย. 2555 ประชาชาติธุรกิจ
TAG :"ทูตอังกฤษ" อ่านวิกฤตยุโรป มองเศรษฐกิจไทย ไขปมกฎหมายการค้า-การเมือง,ข่าวอสังหา,อสังหาริมทรัพย์,บ้าน,ที่อยู่อาศัย,ข่าวผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง,ข่าวก่อสร้าง,อีบิลด,eBuild,ข่าว |