1. การทดสอบส่วนผสมทางเคมีของเหล็ก ( Chemical Composition Testing) 1.1 ทดสอบโดยใช้กรรมวิธีทางเคมี ให้ผลการทดสอบที่แม่นยำมากที่สุด โดยการนำตัวอย่างชิ้นงานมาย่อยให้เป็นเศษหรือผงก่อน แล้วจึงนำไปทำละลายด้วยสารเคมี แล้วจึงนำสารละลายที่ได้ไปทดสอบตามกรรมวิธีการทดสอบของแต่ละธาตุ 1.2 การทดสอบโดยใช้เครื่องทดสอบ โดยใช้เครื่อง Spectrometer ซึ่งสะดวกและรวดเร็วกว่าวิธีแรกเป็นอย่างมาก สามารถทดสอบธาตุที่ต้องการได้หลายๆ ธาตุในคราวเดียวกัน โดยการใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นให้อะตอมเปล่งรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา แล้วตัวเครื่องจะตรวจจับคลื่นดังกล่าวเพื่อประมวลผลออกมาเป็นชนิดและเปอร์เซ็นต์ของแต่ละธาตุที่เป็นส่วนผสม 2. การทดสอบโครงสร้างภายใน (Metallography) ทดสอบขนาดและรูปร่างของเกรนและผลึก ( Grain & Crystallites) 3. การทดสอบคุณสมบัติทางกล ( Mechanical Properties) 3.1 การทดสอบแรงดึง ( Tensile Test) เป็นการหาค่าความแข็งแรงของวัสดุ (Tensile Strength) 3.2 การทดสอบการดัดโค้ง ( Bend Test) เป็นการตรวจสอบความเหนียว ( Ductility) เพื่อดูคุณสมบัติของวัสดุในการยืดออกได้หรือถูกดึงออกได้ในช่วงของการเสียรูปถาวร (Plastic deformation) 3.3 การทดสอบแรงกระแทก ( Impact Test) เป็นวิธีการทดสอบความแกร่ง ( Toughness) ซึ่งเป็นความสามารถของวัสดุที่จะดูดซึมพลังงานไว้โดยไม่เกิดการแตกหัก 3.4 การทดสอบความแข็ง ( Hardness) วิธีที่นิยมใชักันมากคือ วิธีแบบ Rockwell, Brinell หลักการวัด คือ จะใช้หัวกดที่มีทั้งรูปร่างเป็นทรงกลมและทรงกรวย (ขึ้นกับวัสดุและวิธีการทดสอบที่ใช้) มากดลงบนผิวของชิ้นงานโดยใช้แรงจำนวนหนึ่ง จากนั้นเครื่องจะคำนวณและบันทึกค่าความแข็งของวัสดุออกมาโดยพิจารณาจากรอยบุ๋มของรอยกด แรงที่ใช้ และขนาดของหัวกด Reference: 1.Donald R. Askeland.,The Science and Engineering of Materials, 3rd editionn,PWS Publishing company (1994) 2.D.T.Llewellyn.,Steels: Metallurgy and Applications, 2nd edition,Butterworth-Heinemann Ltd (1992
TAG : |