ระบบก่อสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูปสมัยใหม่ "่Precast" 2
“คนคงมีความสงสัยว่า ระบบการก่อสร้างด้วยระบบสำเร็จรูป หรือระบบพรีคาสท์ ที่กำลังได้รับความนิยมในการก่อสร้างบ้าน มีความแข็งแรงเท่ากับ หรือแตกต่างกับระบบการก่อสร้างแบบเสาคานที่หล่อในสถานที่ก่อสร้าง เช่นที่เห็นดำเนินการอยู่โดยทั่วไป หรือไม่นั้น หากเราพิจารณาระบบของการก่อสร้างแล้วไม่มีความแตกต่างกันในด้านการรับ น้ำหนัก หรือความแข็งแรงของระบบโครงสร้าง แต่เมื่อพิจารณาระบบของโครงสร้างที่มีความแตกต่างกันเช่น ระบบเสาคานเปรียบเทียบกับระบบผนังรับน้ำหนักที่นิยมใช้ในการก่อสร้างบ้าน แล้วจะพบว่า ระบบผนังรับน้ำหนัก จะมีความแข็งแรงและประหยัดมากกว่าระบบเสาโครงประมาณร้อย ละ 25 ถึง 15
ทั้งนี้เนื่องจากระบบผนังรับน้ำหนักสามารถรับน้ำหนักได้ดี และเหมาะสมกว่าเมื่อใช้กับอาคารบ้านพักอาศัยทั่วไป แต่ไม่เหมาะสมกับโครงสร้างอาคารโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อเราหันมามองถึงความมั่นคงแข็งแรง ของตัวอาคารหรือบ้านที่สร้างด้วยระบบพรีคาสท์ ในกรณีที่เกิดเหตุภัยทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟ หรือมีพายุพัดแรง เป็นต้นบ้านที่สร้างด้วยระบบพรีคาสท์ โดยเฉพาะระบบก่อสร้างแบบผนังรับน้ำหนักนั้นจะสามารถรับแรง หรือมีความมั่นคงแข็งแรงมากกว่าระบบเดิมมาก เนื่องจากระบบผนังรับน้ำหนักมีความสามารถในการรับแรงสั่นสะเทือน หรือแรงโยกของแผ่นดินไหวหรือลมได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอาคารที่มีความสูงมาก หรือตึกสูงทั่วไป ก็มักจะใช้ระบบผนังรับน้ำหนักสำหรับรับแรงแผ่นดินไหว และแรงลม
เช่นเดียวกันสำหรับกรณีการเกิดเพลิงไหม้นั้น บ้านที่สร้างด้วยระบบผนังรับน้ำหนักจะมีข้อดีกว่าการก่ออิฐ ฉาบปูน ทั่วไป เนื่องจากผนังรับน้ำหนักทำจากคอนกรีตเสริมเหล็กค่าความทนไฟมากกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าผนังก่ออิฐฉาบปูนที่สามารถทนไฟได้เพียงประมาณ 1 ชั่วโมง การก่อสร้างด้วยระบบผนังรับแรง ยังมีคุณสมบัติเป็นกำแพงกันไฟได้อีกด้วยเช่น กรณีที่เป็นตึกแถวทาวน์เฮ้าส์ ก็สามารถเป็นกำแพงกันไฟได้ทุกห้องหรือทุกหน่วยซึ่งหากเป็นผนังอิฐก่อโดยทั่ว ไปจะต้องก่ออิฐเต็มแผ่น ทำให้ไม่ประหยัดอีกด้วยการดูแล บำรุงรักษา บ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบ Precast นั้นสะดวก และง่ายต่อการดูแลกว่าบ้านที่ก่ออิฐฉาบปูนโดยทั่วไปมาก เนื่องจากไม่ต้องไปพะวงเรื่อง การแตกร้าวตามมุมวงกบ หรือการหลุดร่อนของปูนฉาบเพราะผนังเป็นคอนกรีตมีความยืดหยุ่น หรือการขยายตัวน้อยมากเมื่อเทียบกับปูนฉาบ อีกทั้งเมื่อมีฝนตกผนังคอนกรีตยังสามารถป้องกันการซึมผ่านของน้ำได้ดีกว่า มากกว่าอิฐ ซึ่งมีความพรุนสูงทำให้เมื่อมีน้ำ หรือฝนตก อิฐจะดูดซึมน้ำ หรือความชื้นได้มาก และจะส่งผลทำให้สีที่ทาผนังเกิดเชื้อราทำให้สีหลุดร่อนได้ง่ายอีกด้วย
"ทั้งนี้การใช้งานบ้านที่สร้างด้วยระบบ Precast นั้นมีข้อควรระมัดระวังบางส่วนเช่น การทุบเพื่อเปิดช่องหน้าต่าง ประตูหรือการรื้อผนัง รวมถึงการต่อเติมโครงสร้างต้องดำเนินการโดยคำแนะนำของวิศวกรผู้ออกแบบจึงจะ มีความปลอดภัย ไม่ควรดำเนินการโดยพละการ เนื่องจากจะส่งผลเสียหายกับโครงสร้างอาคารโดยรวม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการใช้งานโครงสร้างระบบ precast" อาจารย์ สำเริง กล่าวทับก่อนจะสรุปทิ้งท้ายว่า
"แม้ระบบนี้จะมีข้อดีมาก แต่ข้อจำกัดคือลูกค้าอาจจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างของตัวบ้านได้ยาก มีข้อจำกัดในเรื่องการเจาะ ทุบผนัง ส่วน ข้อจำกัดในแง่การผลิต คือ อาจจะต้องผลิตในปริมาณที่มาก หรือเป็นแมสจึงจะคุ้มค่า และถ้ายิ่งมีการก่อสร้างที่ใช้รูปแบบเดียวกันมากขึ้น ระบบสำเร็จรูปจึงถูกนำกลับมาใช้ และปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนประกอบของอาคารที่ขนาดใหญ่ได้ผลิตจากโรงงานและมประกอบที่สถานที่ก่อ สร้างภายหลัง
โดยเฉพาะในปัจจุบัน ต้นทุนค่าก่อสร้างอาคารเพิ่มขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม แรงงานที่ีมีฝีีมือขาดแคลน การควบคุมการก่อสร้างให้ได้มาตรฐานทำได้ยากกว่าเดิม
ที่มา
http://magazine.thaicontractors.com/content/36/
TAG : |